วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

Ancient Astronaut: บทที่ 5 จากตำนานสู่ตำนาน

Ancient Astronaut: บทที่ 5 จากตำนานสู่ตำนาน...

:: ตอนที่ 1 สุเมเรียน ::

...ความเจริญรุ่งเรืองของพวกเขามาจากไหน อะไรที่ทำให้อารยธรรมของพวกเขาก้าวไกลไปขนาดนั้น ทั้งที่ถ้านับตามประวัติศาสตร์แล้ว ช่วงเวลาของพวกเขาคือช่วงที่เราเรียกกันว่า ยุคหิน...






ครับ นี่เป็นคำรำพึงรำพันของใครต่อใครที่ได้เจาะลึกลงไปในเรื่องราวของคนโบราณ ชาติหนึ่ง ชนชาติซึ่งเริ่มตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่งในบริเวณอ่าวเปอร์เซียเมื่อประมาณ 7-8 พันปีมาแล้ว คนรุ่นหลังทราบเรื่องราวของชนกลุ่มนี้จากจารึกดินเผาที่เรียกกันว่าคิวนิฟอร์ม ไม่มีใครทราบต้นตอความเป็นมา ทราบแต่เพียงว่า พวกเขามีวิทยาการและเทคโนโลยีที่สูงส่งมาก ทิ้งมรดกทางวัฒนธรรมเอาไว้ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และวัตถุ ซึ่งได้แพร่หลายไปยังชนเผ่าอื่นที่อยู่ใกล้เคียงในเวลาต่อมา และกลายเป็นรากฐานทางอารยธรรมของมนุษย์สมัยใหม่อย่างพวกเราในที่สุด พวกเขาเรียกตนเองว่า ชาวสุเมเรียน

ย้อนหลังไปประมาณแปดพันปีก่อน ณ ลุ่มน้ำไทกริส-ยูเฟรติส ดินแดนเหล่านั้นยังร้อนระอุ ไม่มีแร่ธาตุ ไม่มีป่าไม้ ไม่มีอะไรที่พอจะสร้างเป็นวัตถุเพื่อก่อความเป็นอารยธรรมเมืองขึ้นมาได้เลย แต่แปลกไหมครับว่า ดินแดนดังกล่าวนี้ กลับกลายเป็นบ่อเกิดของอารยธรรมที่ศิวิไลซ์ที่สุดในยุคแรกของประวัติศาสตร์ มนุษย์ หลักฐานที่นักโบราณคดีได้รับในช่วงหลังๆชี้ให้เห็นว่า ที่นี่แหละ คือบ่อเกิดของอารยธรรมทั้งหลายในโลก ชาวสุเมเรียนเป็นผู้ให้กำเนิดตัวอักษรที่ใช้เขียนเป็นภาษาขึ้น มีเทคนิคในการเกษตร มีสถาปัตยกรรมที่สูงส่งตระหง่านตา ส่วนด้านสังคมนั้นเล่า ประมวลกฏหมายฉบับแรกของโลกในประวัติศาสตร์ก็คือกฏหมายของชาวสุเมเรียน พวกเขามีวรรณคดี มีดนตรีพื้นเมืองที่ฟังแล้วโมเดิร์นเหลือเกินเมื่อเทียบกับยุคปัจจุบัน น่าประหลาดใจไหมครับว่า ชนชาติซึ่งไม่มีที่ไปที่มานี้ ไปเอาความรู้ความสามารถเหล่านี้มาจากไหน มันดูเกินยุคสมัยของพวกเขาเหลือเกิน เอาง่ายๆแค่ว่า แม้จะปราศจากป่าไม้แหล่งวัตถุดิบในการสร้างเมือง ชาวสุเมเรียนก็ยังสามารถประยุกต์ใช้หญ้าและต้นอ้อมาทำเป็นอิฐดินเผาเพื่อ สร้างเมืองได้ พวกเขาขุดคลองเพื่อทำการชลประทานจากแหล่งน้ำสำคัญในบริเวณนั้น คือลุ่มน้ำไทกริส-ยูเฟรติส จนทำให้ดินแดนซูเมอร์กลายเป็นเสมือนว่า ที่นั่นคือสวนเอเดนแห่งตะวันออกกลางไป

อ้อ... แล้วทราบกันไหมครับว่า คำว่า Eden สวนสวรรค์ในพระคัมภีร์ มาจากคำว่า E.Din หรือ Eridu อันเป็นสถานที่ที่ชาวสุเมเรียนเชื่อว่า พระเจ้าได้เสด็จลงมาตั้งรกรากบนโลกเป็นครั้งแรกอีกด้วย

Ancient Astronaut ตอนนี้จะนำท่านจมดิ่งสู่ตำนานอันน่าพิศวงของคนโบราณ ที่ซึ่งเต็มไปด้วยปริศนาของนักบินอวกาศยุคโบราณ ผู้มีคุณูปการต่อชาวพื้นเมืองจนถูกยกย่องให้เป็น "พระเจ้า" ไปในที่สุด โดยเราจะมาเริ่มกันที่อารยธรรมสุเมเรียนกันก่อนเป็นอันดับแรกครับ






แผนที่แสดงอาณาเขตของอารยธรรมแถบดินแดน Sumer ในอดีต




ผมได้กล่าวไปแล้วในตอนต้นนะครับว่า พวกเราในยุคหลังนั้นรับทราบเรื่องราวของชาวสุเมเรียนจากจารึกของพวกเขา ซึ่งบันทึกไว้บนแผ่นดินเหนียว เรื่องราวเหล่านี้กล่าวถึงเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในดินแดนที่เราเรียกกัน ว่า ดินแดนของชาวซูเมอร์ จะ ว่าไปแล้ววงการประวัติศาสตร์ของเราก็ตลกมากทีเดียวครับ เพราะรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องราวของชนกลุ่มนี้มีกล่าวถึงกันน้อยมาก เช่น ถ้าพูดถึงดินแดนแถบเมโสโปเตเมีย เราจะคุ้นเคยกันแต่กับ บาบิโลเนียน หรือ อัสสิเรียน กันมากกว่าชาวสุเมเรียน ทั้งที่อารยธรรมของคนกลุ่มนี้เกิดก่อนตั้งมากมาย ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน แต่จากหลักฐานที่ค้นพบในภายหลังรวมทั้งการศึกษาอย่างจริงจังของนักโบราณคดี อีกหลายกลุ่ม ทำให้เราทราบเรื่องราวของกลุ่มชนลึกลับนี้เพิ่มขึ้นอีกมากทีเดียวครับ โดยเฉพาะความรุ่งเรืองในด้านต่างๆที่ผมกำลังจะกล่าวถึงเนี่ย มันทำให้นักโบราณคดีพิศวงเหลือเกิน ว่าชาวสุเมเรียนก่อเกิดอารยธรรมขึ้นมาได้อย่างไร และพวกเขาไปเอาความรู้เหล่านั้นมาจากไหน ก็อย่างที่กล่าวไปตั้งแต่ตอนต้นแหละนะครับว่า มันเหมือนอารยธรรมสำเร็จรูปที่จู่ๆก็โผล่มาแบบพรวดพราด ไม่มีวี่แววของการวิวัฒน์หรือพัฒนาเลยแม้แต่น้อย เรามาดูกันดีกว่าว่าความเจริญอันผิดปกติของชาวสุเมเรียนนั้น มีอะไรกันบ้าง

พูดถึงศาสตร์ของชาวสุเมเรียนแล้วนะครับไล่กันสามวันสามคืนก็ไม่หมด เพราะนอกจากเป็นชนกลุ่มแรกที่ปฏิวัติด้านเกษตรกรรมแล้ว ยังรู้จักการค้าขาย ริเริ่มนำโลหะมาแทนเงินตราเป็นพวกแรกๆ ความเจริญก้าวหน้าของพวกเขาเป็นต้นตอของอารยธรรมในแถบอื่นๆ เช่น แถบเมดิเตอร์เรเนียนและอินเดียในเวลาต่อมาครับ สำหรับด้านศาสตร์แขนงต่างๆนั้น ผมพูดไปแล้วนะครับว่า ชาวสุเมเรียนเค้าแตกฉานในเรื่องของ คณิตศาตร์ อักษรศาสตร์ สถาปัตยกรรม นันทนาการ การเมืองและกฏหมายอย่างลึกซึ้งทีเดียว ที่เด็ดที่สุดเห็นจะเป็นวิชาดาราศาสตร์แหละครับ เพราะแค่หลักฐานเล็กๆน้อยๆที่พอจะหาได้ในปัจจุบัน ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้นักวิชาการกุมขมับนั่งคิดนอนคิดว่ามันมาจากไหนและ เป็นไปได้อย่างไร เดี๋ยวผมจะแซมเปิ้ลให้อ่านกันสักสองสามตัวอย่างดีกว่า

ชาวสุเมเรียนมีความรู้เกี่ยวกับดวงดาวอย่างลึกซึ้ง พวกเขาคำนวณวงโคจรของดวงจันทร์ผิดไปจากปัจจุบันเพียงแค่ 0.4 วินาที นอกจากนั้นบนเทือกเขาคูยุนค์ยิค นักโบราณคดีได้พบเศษจารึกแสดงผลการคำนวณบางอย่าง ที่ให้คำตอบออกมาเป็นตัวเลขคือ 195,955,200,000,100

ช่ายครับ... ผมพิมพ์ไม่ผิดหรอก มันคือเลขสิบห้าหลักที่แม้เครื่องคิดเลขที่เราๆใช้กันอยู่ยังคำนวณกันไม่ ค่อยจะได้ มันคือผลการคำนวณของอะไรครับ? ตัวเลขนี้บ่งค่าอะไรทำไมมันถึงได้เป็นจำนวนที่มโหฬารขนาดนั้น? ขนาดชาวกรีกในยุคหลังที่ว่าแน่ด้านพีชคณิตและการคำนวณยังแพ้แบบหลุดลุ่ย... ผมล่ะเชื่อเค้าเล๊ย

ในยุคสมัยแห่งความมืดมนทางดาราศาสตร์ของโลกยุคใหม่ รอยต่อของช่วงเวลาระหว่างปโตเลมีและคอปเปอร์นิคัส (คงไม่ต้องบอกนะครับว่าใคร มีผลงานอะไร ถ้าบอกว่าไม่รู้จักนี่อายเด็กมัธยมแย่เลยนะ) วงการดาราศาสตร์ยังเชื่อว่าโลกแบนเป็นกล้วยทับ เมื่อไม่กี่ร้อยปีมานี้เรายังขาดความเข้าใจในเรื่องของจักรวาลและอวกาศอยู่ มาก ทว่าชาวสุเมเรียนเค้ารู้ล่วงหน้าพวกเรามาตั้งไม่รู้กี่พันปี พวกเขามีตำแหน่งของดวงดาวในระบบสุริยะทั้งหมด มีแม้กระทั่งดาวเคราะห์ดวงที่สิบหรือ Planet X ซึ่งปัจจุบันวงการดาราศาสตร์กำลังควานหากันอยู่ คนโบราณเหล่านี้ทราบได้อย่างไรครับ เคยสงสัยกันหรือเปล่า?

จารึกดินเหนียวโบราณที่พบในนิเนเวห์,นิปเปอร์ รวมทั้งเมืองโบราณอื่นๆของสุเมเรียน ก็ล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยเรื่องราวทางดาราศาสตร์ เนื้อหาของจารึกปะปนไปด้วยศัพท์ทางดาราศาสตร์เป็นร้อยๆคำ ที่น่าทึ่งไปกว่านั้นคือ แผ่นดินเหนียวบางแผ่น เป็นผลการคำนวณของวงโคจรดาวเคราะห์ ปฏิทินของดาวเคราะห์แต่ละดวง วงโคจรและปฏิทินอย่างละเอียดของดวงจันทร์ ซึ่งเราก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า พวกเขามีความจำเป็นอะไรถึงต้องคำนวณมันออกมาอย่างละเอียดขนาดนี้ ประการสำคัญนะครับ คนโบราณเหล่านี้ไม่ได้มีเครื่องไม้เครื่องมือทางดาราศาสตร์อะไรเลย (อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไม่พบแหละน่าว่ามี) แต่ทำไมถึงได้รู้ดีกว่าคนในยุคหลังซึ่งเพียบพร้อมด้วยอุปกรณ์ทางดาราศาสตร์ อย่างพร้อมสรรพซะอีก น่าคิดดีไหมล่ะครับ?


ตอนที่ 1 สุเมเรียน (ต่อ)

แรกเริ่มเดิมทีเชื่อกันว่า อารยธรรมในแถบเมโสโปเตเมีย รวมทั้งวัฒนธรรมของการจารึกอักษรลงบนแผ่นดินเหนียวนั้นมาจากชาวเซไมต์ครับ พอเอาเข้าจริงๆเมื่อมีการสำรวจอย่างเป็นทางการและทุ่มเทมากขึ้นผลปรากฏออกมา ว่า อักษรรูปลิ่มที่พวกเราคุ้นเคยกันดีในวิชาประวัติศาสตร์นั้นมาจากชนเผ่าที่ ชื่อสุเมเรียน และหลังจากการเปิดไซต์ทางโบราณคดีที่ตะวันออกกลาง มีการขุดกันอย่างเอาเป็นเอาตายมากขึ้น หลักฐานที่น่าพิศวงจึงถูกเปิดเผยออกทีละเล็กละน้อย นั่นก็คือเรื่องราวของชนชาวซูเมอร์

บทเรียนในวิชาประวัติศาสตร์และข้อสรุปของนักโบรารคดีรุ่นก่อนบอกกับพวกเราว่า ชาวสุเมเรียนได้เข้ามาตั้งถิ่นฐาน ณ ที่อยู่ปัจจุบันของพวกเขาเมื่อประมาณ 3000 ปีก่อนคริสตกาล แต่ไม่ยักกะมีใครบอกได้แฮะว่าพวกเขามาจากไหน ชาวสุเมเรียนทำการบุกเบิกพื้นที่ในแถบนั้นจนกลายเป็นนครอันมั่งคั่ง และเจริญสูงสุดในสมัยของผู้นำอันเกรียงไกรซึ่งชาวสุเมเรียนเรียกว่ายุคของ Etana โชคดีอยู่อย่างครับ ที่ชนชาตินี้เป็นชนชาติที่ชอบบันทึกเรื่องราวเอาไว้มาก หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรของยุคสมัยนั้นจึงหลงเหลืออยู่เยอะ (ไม่เหมือนเกาะอีสเตอร์นิ..) จากเรื่องราวในจารึกดินเหนียว ทำให้นักโบราณคดีทราบว่า ชนชาวสุเมเรียนดำรงชีพอยู่ด้วยการประมงและกสิกรรมเป็นหลัก มีการประดิษฐ์สิ่งที่อาจนับเป็นนวัตกรรมยุคโบราณอีกสองสามชิ้น เช่น การใช้ล้อและเพลา รถลาก เกวียน รวมทั้งเรือเล็กๆสำหรับหาปลา

แต่เครื่องมือพวกนี้มันเพียงพอหรือครับ ต่อการสนับสนุนความก้าวหน้าทางวิศวกรรม คณิตศาสตร์ และดาราศาสตร์อย่างที่เห็นอยู่ตามหลักฐานในปัจจุบัน?

:: ดาราศาสตร์และคณิตศาสตร์ ::

มาว่ากันถึงซิกกูรัตของ ชาวสุเมเรียนกันบ้างดีกว่า (Ziggurat) เริ่มกันที่แนวคิดในปัจจุบันนะครับ นักวิชาการส่วนมากเริ่มคล้อยตามกันแล้วว่า ซิกกูรัตมหึมาของชาวสุเมเรียนนั้นนอกจากจะใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาแล้ว ยังใช้ประโยชน์ในการเป็นหอสังเกตปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ด้วย เรื่องที่น่าทึ่งอย่างมากของซิกกูรัตก็คือ หลักการที่ชาวสุเมเรียนนำเอามาสร้างนี่แหละครับ ไม่ทราบใครที่ไหนมาสั่งสอนพวกเค้ากันถึงได้ออกแบบได้อย่างเหมาะเจาะขนาดนี้ จุดสูงสุดที่เรียกกันในภาษาชาวบ้านว่ายอดของซิกกูรัตนั้น สามารถสังเกตท้องฟ้าได้ทั้งซีกตะวันตกและตะวันออก เรียกว่าอยู่กึ่งกลางจุดท้องฟ้าพอดี แถมขอบกั้นยังเป็นจุดสังเกตพระอาทิตย์ขึ้นและตก ซึ่งเปลี่ยนผันเวลาไปตามฤดูกาลคือร้อนและหนาวอีกด้วย

ชาวสุเมเรียนโบราณใช้เกณฑ์ในการสังเกตท้องฟ้าเช่นเดียวกับพวกเราในปัจจุบัน (หรืออันนี้เป็นมรดกตกทอดมาจากพวกเขาผมก็ไม่แน่ใจนะครับ) พวกเขาแบ่งท้องฟ้าออกเป็น 3 โซน คือด้านเหนือ กึ่งกลาง และด้านใต้ โดยเรียกตามชื่อของพระเจ้าโบราณเป็น way of Enlil, way of Anu และ way of Ea ตามลำดับ ที่ร้ายไปกว่านั้นคือหลักการสมัยใหม่ที่พวกเราเพิ่งเริ่มนำมาใช้กัน เช่น การแบ่งท้องฟ้าเป็น 360 องศา การใช้เส้นขอบฟ้า การรู้จักขั้วโลก การมีจุดอิควิน็อกซ์ หรือแม้แต่คราสต่างๆเช่น สุริยคราส นั้น ชาวสุเมเรียนรู้จักและมีบันทึกกันมานานนม พวกเขาเรียนรู้จากไหนหนอ เพราะความรู้เหล่านี้ต้องอาศัยการสังเกต สั่งสมอย่างนานนม มันค้านกับการก่อตัวอย่างสั้นๆของอารยธรรมสุเมเรียน ซึ่งปุบปับก็รุ่งเรืองขึ้นมาดื้อๆ ท่านว่ากันไหมล่ะครับ?

มาว่ากันต่อ ชาวสุเมเรียนนำความรู้เกี่ยวกับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์มาสร้างเป็นปฏิทิน โดยปฏิทินที่ซับซ้อนที่สุดถูกค้นพบในเมืองนิปเปอร์ (Nippur) ซึ่งแทบไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่ามันเป็นปฏิทินทางดาราศาสตร์ของคนโบราณ เนื่องจากมีความซับซ้อนมากจนเกินความจำเป็น มีการแบ่งเวลาออกเป็นรอบปี ซึ่งก็มีทั้งปีดวงอาทิตย์ ปีของดวงจันทร์ และช่วงเวลาที่รอบปีทั้งสองมาบรรจบกัน มีการคำนวณทำปฏิทินล่วงหน้านับหมื่นๆปี (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะทำกันไปทำไม) ชาวสุเมเรียนมีเหตุผลกลใดที่ต้องสร้างปฏิทินอันซับซ้อนขนาดนี้ขึ้นมาใช้ครับ หากไม่เกี่ยวพันกับการสังเกตดวงดาวอย่างมากๆ ซึ่งมันค้านกันเองอยู่ในที เพราะนักประวัติศาสตร์บอกเราว่า สังคมสุเมเรียนเป็นอยู่ด้วยการกสิกรรมและการประมง...





ภาพจักรราศีทางดาราศาสตร์ของชาวสุเมเรียนครับ พอจะดูเข้าใจกันไหมเอ่ย?



ทีนี้เราลองมาดูความก้าวหน้าทางคณิตศาสตร์ของพวกเขาดูบ้าง เป็นเรื่องยากจะจินตนาการสำหรับนักประวัติศาสตร์และโบรารคดีเหลือเกินว่า เหตุใดชาวสุเมเรียนจึงเลือกใช้เลขฐาน 60 ซึ่งแตกต่างไปจากฐานเลขที่ไปที่มนุษย์ใช้กัน เพราะมันผิดหลักธรรมชาติอย่างมาก ปัจจุบันพวกเราคุ้นเคยกับเลขฐาน 10 กัน นั่นเพราะมนุษย์มี 10 นิ้วถูกไหมครับ ส่วนถ้าเป็นคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ก็ใช้ฐาน 2 หรือดิจิตอลเป็นหลัก เนื่องจากเข้ากันได้ดีกับหลักการทางไฟฟ้าที่คอมพิวเตอร์ปัจจุบันใช้กันอยู่ (อนาคตอาจเปลี่ยนจากไฟฟ้าเป็นควอนตัมหรือ DNA เรื่องนี้เค้ากำลังวิจัยกันอย่างหนักอยู่ครับ)

ผมไม่อธิบายเรื่องของเลขฐานนะครับ เพราะเรียนกันมาแต่อ้อนแต่ออกอยู่แล้ว รู้แต่เพียงว่า ชาวสุเมเรียนเลือกใช้เลขฐานที่ประกอบด้วย 10 และ 6 เป็นหลัก ลองเทียบกับที่เราใช้อยู่คือ 1, 10, 100, ..., n ชาวสุเมเรียนจะมีเลขหลักใช้กันในลักษณะนี้ คือ 1, 10, 60, 600, 3600, 36000, 216000, ..., n แปลกดีนะฮะ

จะว่าไปมันก็ประหลาดๆพอๆกับฐานเลขของชาวมายานั่นแหละ เพราะชาวมายาเค้าใช้เลขฐาน 20 ซึ่งพิศดูดีๆแล้ว มันใกล้เคียงกับหลักการดิจิตอลของคอมพิวเตอร์มาก ราวกับว่า คณิตศาสตร์ของชาวมายา พัฒนามาจากฐานเลขเพื่อการคำนวณของคอมพิวเตอร์เสียอย่างนั้น เอาไว้ผมจะยกมาเล่าอีกทีนะครับ ตอนนี้เราว่ากันถึงเรื่องของชาวสุเมเรียนให้จบเสียก่อน

ในที่นี้หลายๆคนอาจจะคิดนะครับว่า เรื่องของชาวสุเมเรียนเป็นเรื่องไกลตัวพวกเรา แท้ที่จริงมันไม่ใช่เลย เพราะปัจจุบันมรดกตกทอดของพวกเขาหลายๆอย่างนั้น พวกเราใช้กันอยุ่ทุกวันเสียด้วยสิ เป็นต้นว่าเรื่องของมาตรวัด เรื่องของเวลา ที่ 60 ชั่วโมงเป็น 1 นาที, 60 นาทีเป็น 1 ชั่วโมง, 24 ชั่วโมงเป็น 1 วัน, ปีหนึ่งแบ่งออกเป็น 12 เดือน, วงกลมมี 360 องศา รวมทั้งการแบ่ง Zodiac ออกเป็น 12 ราศีเหมือนๆกับยุคปัจจุบัน นั่นล่ะครับมรดกตกทอดของพระเจ้าจากอวกาศ หึ หึ...

ไคลแม็กซ์ ของเรื่องมาอยู่ตรงคำว่าพระเจ้านี่เองครับกระผม ชาวสุเมเรียนสร้างทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมาโดยมีจุดประสงค์หลักคือเพื่อพระเจ้า ของพวกเขาครับ เป็นงานจากคำสั่งของพระเจ้า โดยการอำนวยการของพระเจ้า และเพื่ออุทิศแด่พระเจ้าอย่างแท้จริง อารามอันใหญ่โตโอฬาร เมืองต่างๆของอารยธรรมนี้ล้วนแล้วแต่เป็นสมบัติของพระเจ้าทั้งสิ้น โดยทุกๆเมืองจะมีพระเจ้าประจำเมืองนั้นๆคล้ายกับชาวกรีกโบราณ แต่ละเมืองจะมีฐานะลดหลั่นกันไปตามศักดิ์และฐานะของพระเจ้าประจำเมือง เป็นต้นว่า Nippur คือเมืองแห่ง Enlil ซึ่งถือเป็นเทพที่ยิ่งใหญ่กว่าเทพทั้งปวงครับ

สัญลักษณ์ แทนตัวพระเจ้าของชาวสุเมเรียนนั้นก็ประหลาดเอาการเช่นกัน เพราะทุกองค์มักมีดวงดาวเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เสมอ สิ่งที่ทำให้นักประวัติศาสตร์และโบราณคดีฉงนฉงายก็คือ ดวงดาวที่หมายถึงสัญลักษณ์ของพระเจ้าเหล่านั้นแทบทุกดวงมีวงกลมขนาดเล็กบ้าง ใหญ่บ้างล้อมรอบ ราวกับดาวบริวารกำลังโคจรรอบดาวแม่ นั่นหมายถงึจักรวาลที่พระเจ้าของพวกเขาปกครองหรืออาศัยอยู่หรือเปล่า อันนี้น่าคิดนะครับ

:: พระเจ้าจากอวกาศ ::

พระเจ้าองค์สำคัญๆของชาวสุเมเรียนได้แก่ เอนกิ(Enki) เทพแห่งน้ำ, กิ(Ki) เทพแห่งผืนแผ่นดิน, เอนลิล(Enlil) เทพแห่งห้วงอวกาศ หรือบรรพเทพ อัน(An) ผู้ปกครองสรวงสวรรค์เป็นต้น ชาวสุเมเรียนศัรทธาในพระเจ้าอย่างแรงกล้า และเชื่อกันว่าพระเจ้าของพวกเขาเสด็จลงมาจากท้องฟ้าที่แสนไกล ท้องฟ้าที่หมายถึงท้องฟ้าเบื้องบนนะครับ หาได้หมายถึงสวรรค์แต่ประการใดไม่






อยู่กับนายโซนิคมานานขนาดนี้ คงไม่ต้องฉายซ้ำหรอกนะครับ ว่าพระเจ้าของชาวสุเมเรียนเสด็จมาจากไหน อย่างไร และทำอะไรกับโลกมนุษย์ใบนี้บ้าง สำหรับแฟนใหม่แล้ว ผมอยากจะแนะนำคำๆนึงซึ่งผมจะเอ่ยถึงเสมอๆเวลาอ้างถึงพระเจ้าของชาวสุเมเรียน นั่นคือคำว่า Anunnaki (อ่านว่า AN.UNNA.KI) แปลให้ตรงตัวคือ who from heaven to Earth came ซึ่งในบางครั้งชาวสุเมเรียนบรรยายถึงพระเจ้าเหล่านี้ด้วยอักษรภาพ โดยคำสำคัญที่เป็นส่วนประกอบเสมอคือคำว่า GIR เช่น DIN.GIR และ KA.GIR โดยไอ้เจ้าตัว GIR เป็นอักษรภาพที่มีรูปพรรณสันฐานคล้ายจรวดในปัจจุบันมากครับ โดยรวมแล้วความหมายของ GIR เมื่อประกอบเข้ากับคำอื่นๆแล้วก็อาจแปลความได้ว่า The Righteous one of the blazing rockets ไปเลย วู๊... เท่ห์ไม่ใช่เล่น น่าเสียดายที่สมัยนั้นนักโบราณคดีของเราไม่รู้จักจรวด หรือต่อให้รู้จักเค้าก็อาจคิดว่าเหลวไหลที่คนโบราณจะไปรู้จักหรือจินตนาการ ถึงจรวดไปได้ ความหมายของคำพวกนี้เมื่อถ่ายทอดออกมาในวงการโบราณคดี จึงเป็นไปในอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งดูแล้วเป็นเทพนิยายไปนู่นเลย

เรื่องการผิดเพี้ยนของศัพท์เมื่อแปลจากตำนานโบราณนั้นหาใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด เลย บางครั้งคำที่พวกเราคุ้นเคยกันดี ก็มาจากการแปลที่ผิดความหมาย หรือการตีความอย่างไม่รู้ของผู้แปล เช่นคำว่า Nefilim ในไบเบิล ซึ่งภาคภาษาไทยใช้คำว่ายักษ์ นั้น เป็นคำที่มีความหมายเดียวกับ Anunnaki ของชาวสุเมเรียน และคำว่าเอโลฮิมอันเป็นพระเจ้าของชาวฮีบรูว์โบราณ ปัจจุบัน พวกเรารู้จักความหมายของศัพท์พวกนี้ในคำว่า Giants ไปซะฉิบ อย่างว่าแหละนะ ภาษามันดิ้นได้นี่นายจ๋า...





มาดูความเชื่อของชาวสุมเรียนที่น่าฉงนกันอีกสักตัวอย่างนะครับ เป็นความเชื่อที่สวนกระแสชาติอื่นเมืองอื่นเค้าน่าดูเลย กล่าวคือพวกเขาเชื่อมั่นในความเป็นเอกภาพของมนุษยชาติครับ ตำนานของชาวสุเมเรียนมีว่า กาลครั้งหนึ่งมนุษย์เคยอยู่ร่วมกันเป็นชาติเดียว พูดจาภาษาเดียว สรรเสริญเทพองค์เดียวกันทั้งโลก (คล้ายกับเรื่องของหอคอยคนบาป - - บาเบล ในคัมภีร์ไบเบิลไหมครับ?) เป็นสังคมที่ปลอดภัย สงบสุข คล้ายยุคพระศรีอาริย์ในคติพุทธ ปัญหามันอยู่ตรงนี้แหละครับ บ้านอื่นเมืองอื่นเค้าเชื่อกันว่า ยุคดังกล่าวจะมาถึงหลังวันสิ้นโลกบ้าง วันหมดกัลป์บ้าง แต่ชาวสุเมเรียนเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีวันจะมาถึงหรอกครับในอนาคตน่ะ เพราะในอดีตมันเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง ภายหลังจบสงครามแห่งทวยเทพแล้วยุคที่ว่าจะไม่มีวันบังเกิดขึ้นอีกเลย ก็คงจริงของเค้านะครับ เพราะอาณาจักรสุเมเรียนก็ล่มสลายไปแล้ว ต่อให้ยุคนั้นมาถึงจริง ชาวสุเมเรียนก็ไม่มีวันได้เห็นหรอก

ขอยกบทกวีของชนชาติซูเมอร์ที่อ้างอิงถึงยุคแห่งเอกภาพมาสักบทเถอะครับ อ่านกันเล่นๆแล้วอย่าหมั่นไส้ผมล่ะ รายละเอียดนั้นก็มีอยู่ว่า



Once upon a time...
there was no snake, there was no scorpion,
there was no hyena, there was no lion,
there was no wild dog, no wolf,
there was no fear, no terror,
Man had no rival,
Once upon a time...
the whole universe, the people in unison,
to Enlil is one tongue gave praise.


เป็นไงล่ะครับ ราวกับว่าครั้งหนึ่งนานมาแล้วบนโลกใบนี้ ก่อนประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่พวกเรารู้จักจะอุบัติขึ้น สังคมมนุษย์ถูกปกครองโดยพระเจ้าผู้เสด็จลงมาจากห้วงอวกาศด้วยยานสีเพลิง นอกจากหลักฐานอันเป็นแผ่นดินเหนียวของชาวสุเมเรียนแล้ว แถบนั้น ยังมีหลักฐานทางโบราณคดีอีกหลายชิ้น ที่ช่วยสนับสนุนทฤษฎี Ancient Astronauts ของเราเป็นอย่างดีเลยครับ โดยไอ้เจ้าหลักฐานดังกล่าวนั้นได้แก่

* ภาพวาดรูปก้นหอย อายุ 5 พันปีที่ จีฮอย ทีปิ
* หินเหล็กไฟโบราณ อายุ 4 หมื่นปีที่ การี โคเบห์ และอายุ 2 หมื่นกว่าปีที่ บาราไดเสตียน
* รูปภาพหลุมศพและเครื่องใช้ทำด้วยหิน อายุ หมื่นสามพันปี ที่ทีปิ อาฮิบ
* โครง กระดูกผู้ใหญ่และเด็กซึ่งถูกพบที่ถ้ำชานเดียร์ ทั้งหมดนี้มีอายุประมาณ 450,000 BC ตรวจสอบอายุด้วยคาร์บอน 14 (ซึ่งคลาดเคลื่อนได้ง่ายมากนะจ๊ะ จะบอกให้)


นอกจากหลักฐานดังกล่าวแล้ว ยังพบภาพของคนที่มีเครื่องประดับรูปดาวอยู่บนศีรษะ บางรูปเป็นคนยืนอยู่บนรูปกลมที่มีปีก และแน่นอนครับ รูปที่ขาดไม่ได้คือวงกลมเล็กๆที่มี่วงกลมเล็กกว่าโคจรล้อมรอบเป็นชั้นๆอย่าง มีระเบียบ ซึ่งหากเด็กๆของเราได้เห็นเข้าล่ะก็ พวกเขาจะบอกได้ทันที่ว่า นั่นคือรูปของดาวฤกษ์และดาวบริวาร หรือยิ่งกว่านั้นก็เป็นรูปโครงสร้างอะตอมไปนู่นเลยครับ

เห็นหลักฐานแล้วกลุ้มครับ เนื่องจากทุกอย่างบ่งบอกกับเราว่าเมื่อประมาณ 4-5 หมื่นปีก่อนในแถบเมโสโปเตเมียนั้น เป้นเพียงแค่ที่อยู่อาศัยของมนุษย์ถ้ำยุคหินเท่านั้นเอง แล้วจู่ๆชาวสุเมเรียนกลับมาตั้งถิ่นฐานสร้างอารยธรรมขึ้นที่นั่น พร้อมวิทยาการ วัมฯธรรม และความรู้ทางดาราศาสตร์เสียเสร็จสรรพ ไม่มีพัฒนาการ มีไม่มีคำอธิบาย ไม่มีอะไรทั้งนั้นนอกจากร่องรอยของความรุ่งเรืองในอดีต ทิ้งให้คนยุคใหม่อย่างพวกเราฉงนเล่นซะอย่างนั้นว่า ใครกันหนอคือต้นตอของความเจริญทางอารยธรรมเหล่านี้

ถ้าท่านอยู่กับเว็บไซต์นี้มานานพอ ก็อาจจะได้คำตอบอยู่ในใจแล้วนะครับว่า ในอดีตอันนานนมนั้น มีนักท่องอวกาศกลุ่มหนึ่งซึ่ง(อาจจะบังเอิญหรือจงใจ)ลงมายังโลกมนุษย์ ได้พบกับคนป่าเถื่อนยุคหินบนโลก พวกเขาถ่ายทอดความรู้ อารยธรรม และความเป็นอยู่แบบสังคมเมืองให้ รวมไปจนกระทั่งถึงการดัดแปลงบางอย่างเกี่ยวกับพันธุกรรมของคนพื้นเมืองเพื่อให้มีคุณสมบัติพอที่จะอยู่อย่างศิวิไลซ์ได้

รูปภาพพระเจ้าของชาวสุเมเรียนที่เราเห็นกันในหลายๆที่นั้น มีลักษณะร่วมที่คล้ายคลึงกันอยู่อย่างคือ สวมแว่นแบบช่างเชื่อมแก๊ส ศีรษะมนเป็นโดม ริมฝีปากบาง จมูกโด่งเป็นสัน ทำไมพระเจ้าของพวกเขาจึงมีลักษณะแบบนั้นครับ? หรือว่านั่นคือรูปร่างที่แท้จริงของพระเจ้า ที่พวกเขาเคยได้พบเห็นมากับตา ในยุคสมัยที่มนุษย์อยู่ร่วมกับพระเจ้าบนโลกใบนี้เมื่อนานแสนนานมาแล้ว...





:: ตอนที่ 2 Bible and other Myth ::

ในการศึกษาคัมภีร์โบราณ เช่น ไบเบิล มหาภารตะ หรือมหากาพย์กิลกาเมชนั้น น่าแปลกที่ว่า มุมในการศึกษาของนักวิชาการส่วนใหญ่มุ่งไปทางวรรณคดีหรือไม่ก็ทางศาสนาเสีย เป็นส่วนใหญ่ ก็อย่างว่าล่ะครับ สาขาในเชิงมนุษยชาติส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้ จนกระทั่งเมื่อเร็วๆนี้เอง การตีความงานเขียนโบราณเหล่านี้จึงเริ่มพลิกโฉมไป กลายเป็นเชิงวิทยาศาสตร์มากขึ้น ถึงกระนั้น คนส่วนใหญ่ก็ยังมองแนวคิดเหล่านี้ว่าเพี้ยน หรือเป็นเรื่องของพวกไม่มีอะไรจะทำอยู่ดีแหละครับ ย้อนความกันนิดนึง ว่าคัมภีร์ไบเบิลนั้นเดิมเป็นภาษาฮีบรูว์หรือว่ายิวโบราณ ซึ่งภายหลังได้ถูกถ่ายทอดเป็นเวอร์ชั่นภาษาต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อโลกในยุคหลังนี่ก็เห็นจะเป็นภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสโบราณล่ะ ครับ ในยุคสมัยที่ศาสนจักรเป็นใหญ่ในยุโรป ในยุคที่ศาสนาคริสต์มีอิทธิพลเหนือสิ่งอื่นใด และในยุคที่คนส่วนใหญ่ยังเชื่อว่าโลกแบนกันอยู่ คัมภีร์นี้ถือเป็นสรณะแห่งการยึดเหนี่ยวที่ผู้ใดต้องมิบังอาจมาสงสัย หรือ มีข้อโต้เถียงต่อข้อความในคัมภีร์ซึ่งถือเป็นพระวจนะที่ได้รับการถ่ายทอดมา จากพระเจ้า





หลายต่อหลายตอนในไบเบิลเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสมัยโบราณ เมือง ภูเขา แม่น้ำที่กล่าวถึง รวมทั้งเหตุการณ์สำคัญๆที่อุบัติขึ้นในประวัติศาสตร์โลก เช่น สงคราม การอพยพ ถูกต้องตรงตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ แต่หลายเหตุการณ์ที่แทรกอยู่ในนั้นกลับมีเรื่องแปลกประหลาดน่าสนใจปะปนอยู่ โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับพระเจ้าจากอวกาศอันไกลโพ้น

ผมขอชี้ตรงนี้นิดนึงว่า ถ้าข้อความในไบเบิลเป็นส่วนหนึ่งของการจารึกประวัติศาสตร์ (เพราะมีหลายเหตุการ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ) เหตุการณ์แปลกประหลาดที่นักวิชาการมองเป็นอภินิหารหรือความเชื่อทางศาสนา นั้น มันก็น่าจะมีมูลความจริงอยู่บ้างถูกต้องไหมครับ? น่าเสียดายที่ว่า นับแต่ยุคกลางเป็นต้นมา ไม่มีใครกล้าสงสัยหรือโต้แย้งข้อความในคัมภีร์เล่มนี้ซึ่งถือกันว่าเป็นสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ ใครค้านก็หัวหลุดอย่างเดียว นักวิทยาศาสตร์ที่เสนอทฤษฎีซึ่งแย้งกับไบเบิลถูกจับไปทำเสต็กก็แยะ ดังนั้นความหวั่นเกรงในจุดนี้ แต่ความกลัวในการโดนรุมประนามจากมหาชน จึงฝังรากหยั่งลึกจนไม่มีใครกล้าลุกขึ้นมาสงกาคัมภีร์ไบเบิลอีก ถึงอย่างนั้นก็เถอะครับ นักการศาสนาหลายคนก็ยังงงและอัดอั้นต่อพระเจ้าที่กล่าวถึงในพระคัมภีร์ พระเจ้าที่แท้จริงทำไมต้องใช้ปีกและยานพาหนะในการเดินทาง ทำไมพระเจ้าไม่ยินยอมให้มนุษย์เห็นพระพักตร์ของพระองค์ ทำไม ทำไม และทำไม...

นักศาสนวิทยาผู้มีศัรทธาแก่กล้ามักให้เหตุผลว่า พระเจ้าทรงมีพระปรีชาญาณและทรงมีเหตุผลในการเหล่านี้ เกินกว่าที่มนุษย์ธรรมดาอย่างเราๆจะเข้าใจได้ พูดง่ายๆคือ พระองค์มีเหตุผลของพระองค์ที่พวกเอ็งไม่เข้าใจ อะไรประมาณนี้แหละครับ คงเข้าทำนองทางศาสนาพุทธในเรื่องของคำถามที่พระพุทธองค์ไม่ทรงตอบ เนื่องจากทราบไปก็ใช่จะทำให้หลุดพ้นสู่นิพพานขึ้นขึ้นมาได้ รู้ไปก็เท่านั้น





ผมไม่เคยยืนยันว่าทฤษฎีพระเจ้าจากอวกาศเป็นสิ่งที่ถูกต้องนะครับ แต่ถ้าเอาทฤษฎีนี้มาอธิบายเรื่องราวดังกล่าว เราก็พอจะมองเห็นความเป็นไปได้อันเลือนรางของคำตอบเหล่านี้ ถูกต้องไหมครับ ลองมาพิศดูสักหน่อยเป็นไรว่า การขุดค้นลงไปในคัมภีร์ทางศาสนาของคนโบราณ ให้อะไรกับพวกเราบ้าง เมื่อถามถึงเรื่องราวของพระเจ้าจากอวกาศ

สมมุติว่า วันหนึ่งอารยธรรมของโลกเราพินาศลงด้วยสงครามนิวเคลียร์ระหว่างซีกโลกตะวันตก และประเทศกลุ่มอาหรับ แล้วต่อมาอีก 5 หรือ 6 พันปี เมื่อมนุษย์เจริญขึ้นมาอีกครั้ง คณะสำรวจทางโบราณคดีขุดค้นพบชิ้นส่วนของเทพีเสรีภาพเข้า คิดไหมครับว่าคำอธิบายของคณะสำรวจชุดนั้นจะว่าอย่างไร พวกเขาคงกล่าวว่ารูปปั้นนี้เป็นรูปปั้นของเทพีแห่งไฟ (ดูจากคบเพลิง) หรือไม่ก็เป็นธิดาแห่งดวงอาทิตย์ (หล่อนมีริ้วทองที่ศรีษะ) หรือไม่ก็เทพีอะไรซักอย่างซึ่งเป็นตัวแทนของศัทรธาและศาสนา ใครมันจะไปนึกว่า รูปปั้นนี้คือตัวแทนทางศิลปะ เป็นสัญลักษณ์แห่งแรงบันดาลใจในเชิงศิลป์ เทียบกับนักโบราณคดีในสมัยนี้ ที่พอขุดเจออะไรพิลึกๆ พ่อก็โยนให้ศาสนาและพระเจ้าของคนโบราณเอาไว้ก่อน






หน้าที่แล้วผมได้พูดถึงอะไรบางอย่าง ที่ดูแล้วผิดวิสัยในตัวของพระคัมภีร์ไบเบิลใช่ไหมครับ สิ่งผิดวิสัยดังกล่าวนี้มีอยู่มากมายหลายจุด ขอยกตัวอย่างซักสองสามเรื่องก็แล้วกัน

พระเจ้าทรงดำริ จงสร้างมนุษย์จากรูปของเรา ให้เหมือนเรา : เยเนซิส 1,26

ต้นฉบับภาษาฮีบรูว์ใช้คำว่า เอโลฮิม ซึ่งเป็นคำพหูพจน์ เมื่อแปลออกมาแล้วต้องใช้คำว่า the gods ถูกไหมครับ? ทำไมพระเจ้าต้องใช้คำพหูพจน์ ในเมื่อความเชื่อทางศาสนายืนยันอยู่ชัดแจ้งแล้วว่า พระเจ้าผู้ทรงเอกานุภาพนั้นมีอยู่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น มันดูขัดๆกันไหมล่ะครับ?

เมื่อถึงกาลนั้น มนุษย์เริ่มแพร่พันธุ์ของตน เขาให้กำเนิดลูกสาว และเมื่อบุตรของพระเจ้า เห็นลูกสาวของมนุษย์ที่มีความงามก็เลือกไปเป็นภรรยาของตน : เยเนซิส 6,1-2

ใครคือบุตรของพระเจ้าครับ? ในเมื่อพระเจ้าของอิสราเอลไม่เคยมีบุตร ...





ส่วนเยเนซิส 19, 1-18 ได้กล่าวถึงความพินาศของโซดอมและโกมอร์ราไว้ว่า ทูต สวรรค์สององค์ได้มายังเมืองโซดอมในตอนเย็น ขณะนั้นลอตกำลังนั่งอยู่ที่ประตูเมืองพอดี การพบกันของทูตสวรรค์กับครอบครัวของลอต ความพินาศของโซดอมและโกมอร์รานั้น ท่านคงอ่านกันมามากแล้วจากแหล่งอื่นๆ ดังนั้นผมไม่ต้องฉายซ้ำนะครับ สรุปแต่เพียงว่า ความพินาศของเมืองเหล่านี้ การตายของภรรยาของลอตซึ่งกลายเป็นเสาเกลือ กลับมาพ้องกับเหตุการณ์ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นเรื่องของการใช้ระเบิดปรมาณูอย่างเหลือเชื่อ คำถามก็คือ ถ้าพระเจ้าคิดจะทำลายโซดอมจริง ทำไมทูตสวรรค์จะต้องรีบร้อนพาลอตและครอบครัวหนีไป พระเจ้าเลื่อนเวลาทำลายไม่ได้หรือ หรือว่า... เวลาที่เมืองจะถูกทำลายได้ตั้งเอาไว้เรียบร้อยแล้วครับ? ระเบิดอาจกำลังนับเวลาถอยหลังอยู่ หรือไม่ก็ขีปนาวุธถูกยิงออกมาแล้ว ดังนั้นลอตจึงต้องรีบหนีออกจากเมืองให้ทัน และขึ้นไปหลบซ่อนอยู่บนภูเขา อันเป็นเกราะป้องกันรังสีที่แผ่ออกมาจากอาวุธของพระเจ้า ก็ไม่รู้จะคิดมากไปหรือเปล่าน่ะนะครับ -_-"

มองอีกแง่หนึ่ง พระเจ้าในไบเบิล ไม่ได้แตกต่างอะไรจากปุถุชนเลยในแง่ของอารมณ์และความคิด เว้นเสียแต่พระเจ้าทรงมีอภินิหาร(ซึ่งเราไม่อาจแน่ใจว่า นั่นคือสิ่งเหนือธรรมชาติหรืออำนาจของวิทยาศาสตร์)มากกว่าเท่านั้นเอง เหตุการณ์ต่างๆในไบเบิลบอกกับเราว่า พระเจ้าผู้เป็นใหญ่ในจักรวาล ทรงสร้างมนุษย์และพึงพอใจ ต่อมาพระองค์ก็ทำลายมนุษย์ ถ้าพระเจ้าทรงหยั่งรู้ทุกสรรพสิ่ง ทำไมพระเจ้าไม่สร้างมนุษย์ให้ดีเลิศเสียตั้งแต่แรก และทำไมพระเจ้าจึงลำเอียงเข้าข้างมนุษย์เพียงบางคนหรือบางกลุ่ม เช่น ชาวอิสราเอล หรือแม้แต่ลอตกับครอบครับของเขา





ผมเคยเล่าเรื่องของเอเซเกลไปแล้วใช่ไหมครับ เอาเป็นว่าขอทบทวนรายละเอียดอีกทีก็ได้ เผื่อบางท่านลืมๆไปแล้ว เอเซเกลเป็นนักบวชผู้เล่ารายละเอียดของการลงสู่โลกมนุษย์ของพระผู้เป็นเจ้า ครับ สิ่งที่น่าสนใจก็คือ การเสด็จของพระเจ้าช่างละม้ายคล้ายกับการร่อนลงของยานอวกาศเสียจริงๆ เพราะมาพร้อมกับเสียงก้องกัมปนาทและหมอกควัน ตามที่กล่าวถึงในบันทึกของเอเซเกล ดังนี้ครับ

" ขณะนี้ผ่านไปในปีที่สิบสาม เดือนสี่ วันที่ห้าของเดือน เมื่อข้าฯอยู่เชลยริมแม่น้ำซีบาร์ ทันใดนั้นสวรรค์ก็เปิดกว้างออก ข้าฯดู... ข้าฯประจักษ์ พายุอันหมุนเคลื่อนมาจากทางเหนือ เมฆสีดำกลุ่มใหญ่และไฟลุกเอง ท่ามกลางสิ่งเหล่านี้มีแสงสว่างคล้ายอำพัน มีเงาซึ่งคล้ายกับมนุษย์สี่ร่างโผล่มา แต่ละคนมีสี่หน้าและสี่ปีก เท้าของพวกเขาแข็งแรงคล้ายกับวัว ร่างของพวกเขาเป็นเงาสะท้อนคล้ายสีทองที่ขัดจนเงาเป็นมัน"

อ่านแล้วก็ปวดหมองตึ้บ ทำไมพระเจ้าหรือทูตของพระองค์ถึงมีรูปร่างพึลึกแบบนี้ล่ะครับ? แล้วทำไมทรงร่อนลงมาจากทิศเหนือยังกะยานอวกาศ ส่งรังสีและประกายแสง แถมมีลมหอบกระชากเล่นเอาฝุ่นทรายปลิวคลุ้งซะอย่างนั้น ลักษณะรายละเอียดทำให้ชวนนึกถึงการกล่าวถึงพระเจ้าทรงวิมานะของทางอินเดีย โบราณ ที่สำคัญคือ ทำไมพระองค์ไม่เสด็จมาเฉยๆ ทำไมต้องมีเสียงและควันด้วย?

" ขณะที่ข้าฯมองเห็นสิ่งนั้น มันมีล้อสัมผัสพื้นดิน ลักษณะของล้อคล้ายสีเขียวมรกต ทั้งสี่มีสิ่งที่เหมือนกันคือลักษณะของล้อ และการทำงาน เหมือนมีล้ออยู่กลางเมื่อเคลื่อนที่ไปก็ไปทั้งสี่ด้าน ตอนเลี้ยวไม่เหมือนกับตอนเคลื่อนที่ มีวงซึ่งอยู่สูงและน่ากลัว วงนั้นมีตาอยู่เต็มไปหมดทั้งสี่ด้าน เมื่อสิ่งนั้นไป ล้อก็ไปด้วย เมื่อสิ่งนั้นลอยตัวขึ้น ล้อก็ลอยตัวขึ้นด้วย"

ครับนักลึกลับศาสตร์ทั้งหลายแหล่ ก็เลยพลอยสันนิษฐานไปว่า เอเซเกลคงเห็นยานอวกาศชนิดหนึ่ง ซึ่งวิ่งไปวิ่งมาพื้นทรายหรือดินที่มีเลนได้ ลักษณะของล้อเป็นแบบใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง ยานลำนี้คงใช้หลักการเดียวกับยานโฮเวอร์คราฟบวกเครื่องเจ็ตแบบแฮริเออร์ เป็นที่แน่นอนทีเดียวครับ เมื่อเอเซเกลเห็นยานชนิดนี้เข้าครั้งแรก สิ่งที่เขานึกถึง ถ้าไม่ใช่สัตว์ประหลาดก็คงเป็นพระเจ้านี่แหละ


ตอนที่ 3 มหากาพย์กิลกาเมช

เอ่ยถึงกิลกาเมชแล้ว ทุกคนคงซึมซาบกันดีนะครับว่า เป็นมหากาพย์ที่มีความสำคัญยิ่งยวดในหลายๆด้าน ผมไม่ขอเอ่ยถึงมหากาพย์เรื่องนี้ในแง่มุมอื่นนะครับ เพราะหาอ่านที่ไหนก็ได้ เอาเป็นว่า เราจะพูดเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวพันกับหัวข้อของเรา นั่นก็คือ ความเกี่ยวเนื่องระหว่างมหากาพย์นี้กับนักบินอวกาศยุคโบราณ ผู้ได้รับการยกย่องให้เป็นพระเจ้าในสมัยนั้น

จากการขุดค้นทางโบราณคดีที่เขาคูยุนต์ยิค ได้พบจารึกดินเหนียวจำนวน 12 แผ่น ซึ่งจารึกมหากาพย์กิลกาเมชเอาไว้เป็นภาษาอัคเคเดียนโบราณ คาดว่าจารึกเหล่านี้มาจากห้องสมุดของพระเจ้าอัสเซอร์บานิปาลอันเป็นกษัตริย์ แห่งอัสซีเรีย แต่จารึกขึ้นในสมัยของพระเจ้าฮัมมูราบี เป็นฉบับที่คัดลอกมาจากฉบับออริจินอลอีกทีนึงครับ มหากาพย์เรื่องนี้มีจุดเริ่มต้นจากยุคสมัยของชาวสุเมเรียน กลุ่มชนลึกลับผู้อ้างตัวเป็นทายาทของพระเจ้าจากอวกาศ ผู้รู้จักการคำนวณเลขสิบห้าหลักและมีความรู้ด้านดาราศาสตร์อย่างน่าพิศวง เรื่องราวโดยย่อของมหากาพย์กิลกาเมชมีดังนี้ครับ





แผ่นแรกกล่าว ถึงวีรบุรุษกิลกาเมชสร้างกำแพงเมืองรอบอูรุค และพระเจ้าผู้ประทับในวังที่มีองครักษ์ศักดิ์สิทธิ์ล้อมรอบ กิลกาเมชเป็นวีรบุรุษเลือดผสมครับ เขามีเชื้อสายของพระเจ้าอยู่สองในสามและที่เหลือเป็นสายเลือดของมนุษย์ (ชวนให้นึกถึง Valkyrie Profiles ที่ว่าด้วยโอดินซึ่งมีสายเลือดครึ่งมนุษย์-ครึ่งเอลฟ์ และเลเนธผู้ย้ายวิญญาณเข้าในร่างของโฮมันคิวลัสยังไงพิกลนะครับ) นอกจากนั้นก็กล่าวถึงความงาม พละกำลังและความสามารถต่างๆของเขา เรื่องราวในแผ่นแรกเต็มไปด้วยการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างพระเจ้าและมนุษย์

แผ่นที่สอง กล่าวถึงเอ็นกิดู ผู้ซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยพระแม่แห่งสวรรค์ อารุรู ใน มหากาพย์นี้บรรยายเรื่องราวของเอ็นกิดูไว้อย่างละเอียด ร่างของเขาปกคลุมไปด้วยขน นุ่งผ้าเตี่ยวหนังสัตว์ กินหญ้าและดื่มน้ำบ่อเดียวกับวัวควาย เมื่อกิลกาเมชผู้ครอบครองเมืองอูรุคได้ทราบเรื่องราวของเอ็นกิดู เขาได้ส่งหญิงงามนางหนึ่งเพื่อล่อให้เอ็นกิดูแยกตัวออกจากวัวควาย และก็ได้ผลดังคาด (อืม... อุบายหญิงงามนี่ได้ผลทุกยุคทุกสมัยเลยนะครับ) เอ็นกิดูหลงรักหญิงงามครึ่งมนุษย์ครึ่งพระเจ้านางนั้นมาก หากมองข้าม theme แนวอีโรติคอย่างที่เว็บมาสเตอร์อย่างผมชอบไป จะเห็นได้เลยครับว่า ตำนานโบราณเน้นเรื่องการผสมข้ามสายพันธุ์เป็นพิเศษ นี่เป็นนัยแสดงให้เห็นอย่างหนึ่งไหมครับว่า การผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างครึ่งพระเจ้าและครึ่งสัตว์ เป็นเรื่องที่พิเศษมากในสมัยนั้น

แผ่นที่สาม กล่าวถึงกลุ่มหมอกควันจากระยะไกล เสียงสวรรค์คำรณ แผ่นดินไหว และเรื่องราวของสุริยเทพกับกิลกาเมช มีรายละเอียดน่าสนใจมากๆในตอนที่สุริยเทพตรงเข้ามาจับเอ็นกิดูด้วยปีกและกรง เล็บอันทรงพลังมหาศาล รายละเอียดกล่าวถึงเอ็นกิดูผู้รู้สึกแทบทนทานไม่ได้ เมื่อสุริยเทพผู้มีน้ำหนักราวกับตะกั่วโถมทับลงบนร่างของเขา ที่ว่าน่าสนใจก็ตรงคำเปรียบเปรยนี่แหละครับ คนโบราณเค้ามีความรู้ในวิชากลศาสตร์ดีจริงๆ เพราะขณะที่วัตถุมีความเร็วสูงเมื่อต้องการหยุดจำต้องใช้แรงมหาศาล การเปรียบเปรยเรื่องของเอ็นกิดู ทำให้มองภาพนี้ชัดเจนขึ้น และเป็นที่พิศวงของคนยุคใหม่อย่างเราๆท่านๆครับ

ข้ามไปแผ่นที่ห้าครับ เป็นการเล่าถึงการเดินทางเข้าพบพระเจ้าของกิลกาเมชกับเอ็นกิดู เขาเดินทางมาถึงตำหนักของเทวีเออร์นินิส ลูกธนูและอาวุธที่เขายิงใส่ยามกระเด็นกลับออกมา โดยที่ยามผู้อารักษ์ตำหนักมิได้ระคายเคืองแม้แต่น้อย ทันใดก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นว่า

"จงกลับไป ไม่มีผู้ใดที่สามารถขึ้นเขาศักดิ์สิทธิ์ได้ทั้งที่มีชีวิต ผู้ได้ยลพระพักตร์ของพระเจ้าจะต้องตาย"

ผู้เห็นโฉมหน้าของพระเจ้าต้องตายงั้นรึ... ทำไมถึงได้บังเอิญไปตรงกับข้อความในไบเบิล ซึ่งเป็นตอนหนึ่งในเอ็กโซดัสที่กล่าวว่า "เจ้าไม่อาจเห็นหน้าเรา ไม่มีใครเห็นเราแล้วจะยังมีชีวิตอยู่" ล่ะครับ? บังเอิญ จงใจ เจตนา หรือว่าอะไรกันแน่?

แผ่นที่เจ็ด นี่ เด็ดสุดครับ เพราะกล่าวถึงประจักษ์พยานที่ได้ท่องไปในห้วงอวกาศ เป็นตอนคลาสสิคที่สาวกทฤษฎีพระเจ้าจากอวกาศชอบยกมากล่าวอ้าง นั่นคือเอ็นกิดู ผู้บินอยู่สี่ชั่วโมงในกรงเล็บของอินทรีโลหะ และต่อไปนี้คือเรื่องราวของเขาครับ





ชามข้าวโอ้ตของเอ็นกิดูครับ หึ หึ หึ..





พระองค์ตรัสกับข้าว่า
มองแผ่นดินเหมือนอะไร มองทะเลรู้สึกอย่างไร
แผ่นดินเหมือนภูเขา และทะเลเหมือนทะเลสาบ
อีกสี่ชั่วโมงต่อมา พระองค์ตรัสกับข้าอีก
มองแผ่นดินเหมือนอะไร มองทะเลรู้สึกอย่างไร
โลกเหมือนสวน และทะเลเหมือนร่องน้ำ
เมื่อบินขึ้นไปอีกสี่ชั่วโมงต่อมา พระองค์ตรัสกับข้าอีก
มองแผ่นดินเหมือนอะไร มองทะเลรู้สึกอย่างไร
แผ่นดินเหมือนข้าวโอ้ตต้มกับนม และทะเลเหมือนน้ำข้าว


... คุณพระคุณเจ้า จากข้อความข้างต้น มีจุดน่าสนใจอยู่ที่จินตนาการของผู้รจนามหากาพย์ ช่างใกล้เคียกับความเป็นจริงเอามากๆเลยครับ ท่อนสุดท้ายที่ว่า แผ่นดินเหมือนข้าวโอ้ตต้มกับนม และทะเลเหมือนน้ำข้าว แสดงถึงความรู้เกี่ยวกับสัณฐานของโลกว่าเป็นทรงกลมเหมือนเรามองชามข้าวต้ม จากเบื้องบน และการมองโลกจากชั้นบรรยากาศก็ให้ความรู้สึกแบบนั้นจริงๆเสียด้วยสิครับ

จารึกแผ่นอื่นๆผมขอข้ามไปนะครับ คัดมาเล่าเฉพาะจุดที่น่าสนใจจริงๆ ถ้าสนใจหา d/l มาอ่านกันได้ บนเน็ตมีเยอะแยะเลยที่แปลออกมาเป็นภาษาอังกฤษ ไม่ยาวมาก กำลังอ่านสนุก แล้วท่านจะได้พบบางตอนที่น่าสนใจ เช่น ประตูที่พูดได้ลักษณะเหมือนประตูในฐานทัพใต้ดินที่มีอินเตอร์คอม อ้อ ใน แผ่นที่แปด เอ็นกิดูผู้เห็นโลกจากชั้นบรรยากาศตายลงเพราะโรคลึกลับ กิลกาเมชถามพระเจ้าว่า เขาอาจตายเพราะสูดอากาศเป็นพิษบนสวรรค์ไปหรือไม่? ไม่ทราบเหมือนกันครับว่าที่ไหนคือสวรรค์ หากว่าหมายถึงสถานีอวกาศหรือดาวเคราะห์บริวารสักดวงแล้ว ด้วยบรรยากาศที่มีอัตราส่วนของธาตุที่แตกต่างจากโลกเรา เป็นไปได้ว่าเอ็นกิดูอาจตายเพราะร่างกายปรับสภาพไม่ทันก็เป็นได้

ตอนที่ 4 มหาภารตะ

ยิ่งศึกษาลึกลงไปในตำนานของชนชาติต่างๆแล้ว หลักฐานที่สนับสนุนทฤษฎีนักบินอวกาศยุคโบราณยิ่งเด่นชัดขึ้นมาเรื่อยๆ นิยายปรำปราของชาวเอสกิโมแห่งดินแดนหิมะกล่าวว่า พวกเขาเมื่อก่อนไม่ได้ตั้งรกรากอยู่แถบนี้ หากแต่เดินทางขึ้นเหนือมาครั้งแรกโดยพระเจ้าเป็นผู้พามา เดินทางบนวิหคโลหะที่มีปีกเป็นทองเหลือง ตำนานของชาวอินเดียนแดงแห่งทวีปอเมริกาเล่าว่า วิหคสายฟ้า(Thunder Bird) เป็นผู้สนวิธีการใช้ไฟและปลูกพืชให้กับพวกเขา ส่วนชนชาวมายานั้นเล่าครับ พวกกล่าวถึงพระเจ้าผู้หยั่งรู้ทุกสิ่ง มีความรู้ครอบคลุมห้วงจักรวาล หลักฐานก็คือ พวกเขารู้จักเข็มทิศและสันฐานของโลกซึ่งเป็นทรงกลม!!

เรื่องเหล่านี้เป็นความบังเอิญหรือครับ? สมควรมองข้ามหรือครับ?

ทราบกันดีอยู่แล้วว่าชาวมายาเป็นชนโบราณที่ฉลาด มีอารยธรรมสูงแต่มีความลึกลับที่แม้ปัจจุบันเรายังไม่สามารถคลี่คลายให้ กระจ่าง วัฒนธรรมของชาวมายามีความขัดแย้งในตัวค่อนข้างมาก เป็นต้นว่า เมื่อเราพิศดูปฏิทินของพวกเขา จะเห็นว่าชาวมายามีความรู้ทางดาราศาสตร์ดีอย่างไม่น่าเชื่อ พวกเขารู้ว่าปีหนึ่งของดาวศุกร์เท่ากับ 584 วัน และคำนวณระยะเวลาหนึ่งปีของโลกได้เท่ากับ 365.2420 วัน (ตัวเลขปัจจุบัน 365.2422)

ปีดาวศุกร์เท่ากับ 584 วัน หารด้วย 73 ได้ 8
ปีของโลกเท่ากับ 365 วัน หารด้วย 73 ได้ 5
ปีของดวงจันทร์เท่ากับ 260 วัน


ซึ่งการคำนวณปีในที่นี้คิดจากการโคจรรอบโลกโดยใช้โลกเป็นศูนย์กลาง และปีที่พวกเราใช้กันในปัจจุบันนั้น ชาวมายาเรียกว่าปีของดวงอาทิตย์ ไม่ได้คำนวณแบบลอยๆด้วยครับ ชาวมายามีความสามารถในการถอดตัวเลขที่น่าทึ่งมากทีเดียว

ดวงจันทร์ 20 x 13 x 2 x 73 = 37,960
ดวงอาทิตย์ 8 x 13 x5 x 73 = 37,960
ดาวศุกร์ 5 x 13 x 8 x 73 = 37,960


เนื่องจากจำนวนปีทั้งสามเป็นชนิดของตัวประกอบของ 37,960 ซึ่งชาวมายาถือว่า พระเจ้าจะเสด็จกลับลงมาเยือนโลก...

ส่วน ชาวอินคา ลูกหลานของสุริยเทพนั้นเล่าครับ พวกเขาเชื่อว่าดวงดาวทั้งหลายในห้วงจักรวาลนั้นมีผู้คนอาศัยอยู่ และพระเจ้าของพวกเขาเสด็จมาจากกลุ่มดาวลูกไก่ ซึ่งตรงกับความเชื่อของ ชาวสุเมเรียน อัสซีเรียน บาบิโลเนียน หรือแม้กระทั่งชาวอียิปต์โบราณ ซึ่งล้วนบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนว่า พระเจ้าของพวกเขาเสด็จลงมาจากดาวดวงอื่น สร้างอารยธรรมของพวกเขา และเดินทางกลับห้วงฟ้าอันยาวไกลด้วยเรือไฟที่มีอาวุธน่ากลัว พร้อมคำสัญญาที่ว่า สักวันพระเจ้าจะกลับมาพร้อมนำเอาความอมตะกลับมาให้





โอเคครับ สำหรับผู้ไม่เชื่ออะไรง่ายๆบางท่านอาจมองว่านี่เป็นเพียงจินตนาการน่ะนะครับ แต่จินตนาการส่วนหนึ่งนั้น น่าจะมาจากสิ่งที่คุ้นเคยในชีวิตประจำวันใช่หรือไม่ ถ้าท่านลองจินตนาการถึงอะไรซักอย่าง ก็แน่นอนว่า ท่านคงอดดึงสิ่งที่คุ้นเคยเข้ามาพัวพันไม่ได้ ตัวอย่างเช่น มหาภารตยุทธ หรือ มหากาพย์มหาภารตะอันเป็นวรรณกรรมที่เก่าแก่มากของอินเดียโบราณ เก่ากว่าไบเบิลเสียอีก ได้บรรยายถึงสิ่งแปลกประหลาดและไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดจากจินตนาการของมนุษย์ เพียวๆ เป็นต้นว่า อาวุธที่ทำให้ทั้งประเทศแห้งแล้งไปถึง 12 ปี และยังสามารถฆ่าได้แม้กระทั่งเด็กที่อยู่ในท้องแม่...

ในรามายณะหรือรามเกียรติ์มีตอนที่กล่าวถึงวิมานะ อันเป็นยานที่บินได้ สามารถบินไปในห้วงอวกาศด้วยปรอทและลมขับดัน (เครื่องแบบไอพ่น?) วิมานะบินได้เป็นระยะทางไกลๆ สามารถเคลื่อนไปข้างหน้า ข้างบนและข้างล่างได้ ซึ่งน่าจะเป็นลักษณะของยานอวกาศประเภทหนึ่ง ด้านล่างนี้เป็นบทความตัดตอนมาจากหนังสือรามายณะที่แปลโดย เอ็น ดัตต์ ครับ

"ครั้นพระรามมีบัญชา วิมานะก็เคลื่อนขึ้นไปบนยอดเขาพร้อมเสียงกัมปนาทประหนึ่งฟ้าถล่มดินทะลาย"

แปลกใจจังครับ ว่าทำไม๊ทำไมรถศึกสมัยโบรารชอบเคลื่อนที่ด้วยเสียงดังกันจัง นี่เป็นอีกตอนในมหาภารตะครับ กล่าวถึงรถศึกของภีมะ

"ภีมะเหาะขึ้นฟ้าด้วยวิมานะอันมีแสงแรงกล้าประหนึ่งดวงอาทิตย์ และมีเสียงดังราวท้องฟ้าขณะบังเกิดฝนฟ้าคะนอง"

จินตนาการ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากความคิดก็จริงครับ แต่มันก็ควรมีจุดเริ่มต้นหรือแบบอย่าง แล้วสมัยมหาภารตะนั้น เอาแบบอย่างของจรวดที่มีแสงและเสียงมาจากไหน แล้วทำไมเป็นจินตนาการที่ตรงตามหลักวิชาการสมัยใหม่ได้ขนาดนี้ ไม่สงสัยกันบ้างหรือครับ?





เรื่องของวิมานะ, วฤกษี, อังคหัสฤ์, คัมภีร์วิมานิกะศาสตรา หรือ โทรณะปารวะ ผมและน้องโอเคยเล่าไปแล้วใน อากาศยานแห่งภารตะยุค และ Vimana Revisited สนใจใคร่ทราบก็คลิกอ่านรายละเอียดกันเองนะครับ หรือถ้าต้องการอ่านเรื่องของมหาภารตะยุทธฉบับอ่านสนุก ลองซื้อต่วย'ตูนพิเศษมาอ่านกันเล่นๆ รู้สึกสองสามเดือนนี้มีคอลัมน์ที่ว่าด้วยมหาภารตะยุทธโดยเฉพาะ เหมาะสำหรับมือใหม่ครับ ส่วนที่จะเอามาเล่าซ้ำก็คือ สภาค้นคว้าทางภาษาสันสกฤตที่ไมซอร์ ประเทศอินเดีย ได้แปลข้อความในหนังสือโบราณเล่มหนึ่ง ซึ่งเขียนไว้เป็นภาษาสันสกฤตที่กล่าวถึง



- ความลับในการสร้างวิมานะให้แข็งแกร่ง ไม่ไหม้ไฟ และไม่ให้โดนทำลายโดยง่ายจากข้าศึก
- กรรมวิธีขับเคลื่อนวิมานะ การหยุดกลางอากาศ การชะลอความเร็ว
- วิธีการทำให้วิมานะ สามารถหลีกเลี่ยงการตรวจจับจากฝ่ายศัตรู
- การดักฟังคำสนทนาและเสียงอื่นๆในวิมานะฝ่ายตรงข้าม
- การตรวจจับและอ่านทิศทางการเคลื่อนไหวของวิมานะฝ่ายศัตรู
- กรรมวิธีทำให้ผู้ขับวิมานะของศัตรูหมดสติหรือสับสน
- การทำลายวิมานะข้าศึกด้วยวิธีต่างๆ


โดย ตำราโบราณเล่มนี้มีทั้งหมด 31 บท อธิบายเรื่องราวและการสร้างยานบินชนิดนี้อย่างละเอียด รวมทั้งกล่าวถึงโลหะที่ใช้ในการสร้างทั้ง 16 ชนิด เป็นโลหะที่เรารู้จักกันเพียงสามชนิด ที่เหลือยังไม่รู้จักหรือแปลกันไม่ได้ครับ





นอกจากนั้นวิมานะในมหาภารตะยังถูกแบ่งออกเป็นประเภทที่บินได้กับบินไม่ได้ ในตอนต้นของมหากาพย์กล่าวถึงนางพรหมจารีย์กุนตี ซึ่ง ได้เสียกับพระอาทิตย์และให้กำเนิดบุตรชายที่เปล่งรัศมีได้เช่นเดียวกับดวง อาทิตย์ นางกุนตีกลัวจึงนำเด็กไปใส่ตะกร้าหน้าเซเว่น.. เอ๊ย..ลอยตามแม่น้ำไป อธิรตา อันเป็นคหบดีแห่งเมืองสุตามาพบเข้าจึงนำมาชุบเลี้ยง

จะ ว่าไปก็คล้ายกับประวัติของศาสดาพยากรณ์โมเสสนะครับ นอกจากนี้มหากาพย์เรื่องนี้ยังมีครึ่งเทพ-ครึ่งมนุษย์อันเกิดจากการผสมข้าม สายพันธุ์ทำนองเดียวกับมหากาพย์กิลกาเมชเต็มไปหมด เช่น อรชุน ผู้ต้องเดินทางไปไกลแสนไกลเพื่อพบกับพระเจ้าและขอให้พระเจ้าประทานอาวุธใน การทำศึกให้ ระหว่างการเดินทางอรชุนพบกับพระเจ้ามากหน้าหลายตา นอกจากนั้น อินทราเทพ ยังพาเขาท่องเที่ยวบนท้องฟ้า ในทำนองเดียวกับการเดินทางของเอ็นกิดูในมหากาพย์กิลกาเมชอีกด้วย

นอกจากนั้น ยังมีข้อความอีกหลายตอนที่กล่าวถึงสงครามที่รบกันด้วยเทคโนโลยีใกล้ เคียงกับปัจจุบัน เช่นอาวุธที่คอยติดตามฆ่าผู้ที่มีโลหะติดอยู่กับตัว เป็นอาวุธที่ทำให้ผมร่วงและเล็บหลุด มันจะปนเปื้อนจนสิ่งมีชีวิตทุกอย่างซีดขาว อ่อนกำลัง อืมห์... ลักษณะเหมือนคนถูกกัมมันตภาพรังสีเลยว่าไหมครับ





ในมหาภารตะบทที่แปดยังกล่าวถึงการทิ้งระเบิดลงจากวิมานะขนาดใหญ่ โดยกุรคาทำ การบอมบ์เมืองของข้าศึก มีวิมานะที่บรรทุกอาวุธ มีวิมานะคุ้มครอง ลักษระเหมือนเครื่องบินทิ้งระเบิดและเครื่องบินขับไล่คอยคุ้มครอง มหากาพย์กล่าวถึงเหตุการณ์นี้อย่างน่ากลัวว่า อาวุธนั้นก่อให้เกิดควันสีขาวที่ร้อนจัด มีแสงสว่างกว่าดวงอาทิตย์นับพันเท่า จนเมืองทั้งเมืองกลายเป็นเศษขี้เถ้าในพริบตา เมื่อกุรคานำวิมานะลงเคลียร์พื้นที่ วิมานะของเขาร้อนจัดจนมีสีคล้ายแร่พลวง...

" ราวกับว่าธาตุทั้งหลายถูกปลดปล่อยออกมา ดวงอาทิตย์ลอยคว้างท่ามกลางแสงแห่งความร้อนของอาวุธนั้น โลกทั้งโลกราวกับตกอยู่ในกองเพลิง ช้างศึกร้องแปร๋แปร๋นลำตัวลุกเป็นไฟ วิ่งไปมาเพื่อให้พ้นจากความร้อนนั้น น้ำทะเลเดือดพล่าน ทหารฝ่ายข้าศึก ผู้คน สัตว์ต่างๆล้มตายกันเกลื่อนกลาด ซากศพกองพะเนินจนแยกเค้าร่างเดิมไม่ออก เราไม่เคยเห็นอาวุธเช่นนี้มาก่อน กระทั่งได้ยินยังไม่เคยได้ยินมาก่อนเช่นกัน" : โทรณะปารวะ ฉบับพิมพ์ปี 1889

อ้อ... สำหรับผู้สนใจวิมานิกกะศาสตรานะครับ ลองๆอ่านรายละเอียดดูได้ ที่นี่ แต่อาจจะปวดหมองหน่อยกับคำอ่านภาษาแขก เพราะพอเขียนเป็นภาษาอังกฤษแล้ว บางทีเราอ่านไปคนละอย่างเลยก็มี ฮึ ฮึ..