Chapter Eleven: Mutiny of the Anunnaki
ความหมายของโลกล่าง -- Lower World
จากบทที่ผ่านมา ผมเล่าถึงการที่ Enlil เข้ามาดำรงตำแหน่งผบ.แทน Enki ซึ่งทำให้ฉายาของ Enki เปลี่ยนไปเป็น E.A (อ่านว่าอี.เอ หรือ อี.อา แปลว่าเจ้าแห่งน้ำ) แทนฉายาเดิมที่เคยถูกเหล่าเนฟิลิม(อานันนาคี)เรียกขานว่าเจ้าโลก เอ่อ... ผมหมายถึง Lord Earth น่ะ คิดกันไปถึงไหนแล้ว ^^!
เทพผู้นำทั้งสามได้บรรลุข้อตกลงในการแบ่งเขตปกครอง บิดรเทพ ANU ทำหน้าที่ประธานสภาเทพ ทรงสถิตย์อยู่บนห้วงสวรรค์ ณ ดาวเคราะห์ดวงที่ 12 เทพเจ้า Enlil ทำหน้าที่ผู้บัญชาการสูงสุดปกครองแผ่นดินแทนพี่น้องอย่าง Enki ซึ่งถูกย้ายไปดูแลดินแดน AB.ZU (หรือ apsu ในภาษาอัคเคเดียน)
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนเกี่ยวกับการแบ่งอำนาจของเทพทั้งสามได้แก่ การเรียกอาณาจักรของ Enlil ว่าโลกบน (Upper world) ส่วนของ Ea จะเรียกว่าโลกล่าง (Lower World) นักวิชาการหลายเหมาเอาว่า Enlil คือผู้ครองโลกเบื้องบนและ Ea เป็นผู้ครองโลกใต้น้ำหรือนครใต้บาดาล เนื่องจากท่านนักวิชาการทั้งหลายตีความว่าอาณาจักรของ Ea เป็นเหมือนหนึ่งนครใต้พิภพของเทพเจ้าฮาเดสแห่งกรีก เพราะว่าฮาเดสครองก้นบึ้งแห่งโลกที่รู้จักกันในนามของ Abbys
Enki เทพเจ้าแห่งความรู้ผู้ดูแล Apsu ดินแดนแห่งสายน้ำหลาก
คำว่า abbys (ซึ่งแผลงมาจาก absu) หมายถึงความมืด ลึก ไร้ก้นบึ้ง เป็นห้วงน้ำแห่งอันตรายที่ไปแล้วไม่สามารถหวนคืนกลับ ดังนั้นคำว่า Lower World ในสายตาของนักสุเมเรียนวิทยาในสมัยก่อนจึงหมายถึงอาณาจักรของคนตาย หรือไม่ก็โลกใต้บาดาลที่ตรงกับนรกภูมิในคติทางศาสนาของบ้านเรา จนกระทั่งเมื่อเร็วๆนี้เองหลังจากมีการศึกษาบริบททางวรรณกรรมสุเมเรียนอย่างหนัก นักสุเมเรียนวิทยาจึงลงความเห็นว่าน่าจะมีการตีความคำนี้เสียใหม่ โดยลดความหมายของมันลงเป็น Netherworld หรือนครใต้สมุทรแทนครับ :)
นครของ Ea เป็นเพียงเมืองในจินตนาการที่ปรากฏในมหากาพย์โบราณหรือไม่? ข้อนี้ยังเป็นที่กังขาของใครหลายคนอยู่ Zecharia Sitchin เสนอว่านครแห่งนี้มีอยู่จริงๆบนโลกภูมิศาสตร์ของเรา ไม่ใช่ปรากฏอยู่แต่ในเทพนิยาย ฟังดูก็เข้าเค้าใช่ไหม ขนาดทรอยและไมซีนี่ยังมีอยู่จริงๆ(ทั้งที่ใครต่อใครสรุปเหมาเอาว่านครทั้งสองเป็นเมืองในนิยาย) Apsu ที่คนโบราณให้รายละเอียดหนักแน่นกว่าทรอยเป็นไหนๆจะไม่มีอยู่บนโลกเชียวหรือ
...เอ่อ ว่าแต่มันอยู่บนส่วนไหนของโลกภูมิศาสตร์ล่ะครับ ไอ้เจ้า Apsu เนี่ย?
ลิขิตโบราณบทหนึ่งที่พิสูจน์ว่า Lower world มิใช่ดินแดนของคนตายได้แก่
อราลีดินแดนแห่งสายน้ำหลาก
ลิขิตโบราณที่ยาวมากๆ (แต่ตีความได้น้อยเพราะหาฉบับที่สมบูรณ์ไม่พบ) กล่าวถึงกรณีขัดแย้งระหว่าง Ira (ฉายาของ Nergal ที่โลกล่าง) กับ Marduk ผู้เป็นเฮียตี๋ร่วมสายเลือด ความไม่ลงรอยระหว่างพี่น้องทำให้ Nergal ตัดสินใจประกาศประจัญหน้ากับ Marduk ผู้ยิ่งใหญ่แห่งบาบิโลน ฝ่าย Marduk นั้นเล่าก็แถลงการณ์อย่างกราดเกรี้ยวเช่นกันครับ ว่าเขาและกองทัพจักต้องขยี้อิรัก เอ๊ย... Apsu ให้ราบเป็นหน้ากลอง ทัพใหญ่ของบาบิโลนจะยาตราเข้าไปเหยียบเหล่า Anunnaki ให้แบนแต๋ติดดิน ตามลิขิตกล่าวว่ามาร์ดุคละที่มั่นของพระองค์ในเมโสโปเตเมียและเดินทัพไปตามน้ำที่ขึ้นสูง (waters that rose up) จุดหมายคือถล่มดินแดน Apsu ปลายทางของมาร์ดุคอยู่ที่นครชื่อ Arali ที่ซึ่งถูกกล่าวถึงในฐานะของฐานทัพแห่งผืนพิภพ รายละเอียดในเอกสารโบราณว่าไว้อย่างนี้ครับ
In the distant sea,
100 beru of water (away) ...
the ground of Arali (is) ...
It is where the Blue Stones cause ill,
Where the craftsman of Anu
the Silver Axe carries, which shines as the day.
เอ้า ลองมาถอดความกันหน่อย (ไม่บ่อยนะครับที่ผมจะยอมถอดความให้ ^^)
ณ สมุทรอันสุดไกล
ล่องไปในนาวา 100 เบรู...
สู่ดินแดนอลารี ที่ซึ่งเป็น...
ณ ที่มีศิลาสีฟ้า เหตุแห่งโรค
ณ ที่ซึ่งสถาปนิกของอานู
ควงขวานเงินอันเปล่งประกายราวทิวา
เบรูเป็นหน่วยวัดระยะทางโบราณครับ 100 เบรูที่เอกสารกล่าวถึงอาจกินระยะมากกว่าสองหรือสามพันไมล์ ที่ใช้คำว่าอาจก็เพราะเราไม่รู้นี่ครับว่าเรือโบราณสามารถแล่นด้วยความเร็วเท่าไหร่ (เพราะหนึ่งเบรูหมายถึงการแล่นเรือเป็นเวลา 2 ชั่วโมงได้ด้วย) เอกสารโบราณระบุว่า Arali อยู่ทางตอนใต้ของ Sumer เรือซึ่งแล่นเป็นระยะทางสามพันไมล์ (หรือสองร้อยชั่วโมงถ้าเรายึดเบรูเป็นหน่วยบอกเวลา) ไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้ของอ่าวเปอร์เซียนั้น มีจุดหมายอยู่ที่เดียวเท่านั้นแหละคือทวีปอาฟริกาตอนใต้
ป.ล. ร่องรอยของเหมืองแร่แห่งเนฟิลิมมีกระจัดกระจายอยู่ทั่วโลกครับ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุด คือเหมืองของอารยธรรมออลเม็ค ภาพที่เห็นด้านซ้ายเป็นภาพของเทพเจ้าชาวออลเม็ค พร้อมอุปกรณ์ในการทำเหมืองเช่นหน้ากากแบบวิศวกร อุปกรณ์ขุดเจาะ และเครื่องเคราครบครัน อารยธรรมออลเม็คมีส่วนเกี่ยวพันกับสุเมเรียนอย่างลึกซึ้ง รายละเอียดผมจะกล่าวถึงในบทหลังๆครับ
นี่เป็นข้อสรุปเดียวเท่านั้นในการอธิบายความหมายของคำว่า Lower World ดินแดนแห่งกาฬทวีปอันเป็นที่ตั้งของ Arali ซึ่งตรงข้ามกับ Sumer บน Upper World ที่เทพเจ้า Enlil ปกครองอยู่...
หมายความว่าเมโสโปเตเมียโบราณคุ้นเคยกับทวีปอาฟริกาเป็นอย่างดีงั้นรึ?
ก็คงเป็นอย่างนั้นแหละครับท่านผู้ชม เพราะภาพลูกกลิ้งโบราณของตะวันออกกลางมากมายมีภาพของสัตว์ที่มีเฉพาะในทวีปอาฟริกา เช่น ม้าลาย หรือ นกกระจอกเทศปรากฏอยู่ ภาพของป่าแบบอาฟริกา ภาพบรรดาผู้นำที่นุ่งห่มหนังเสือดาวตามธรรมเนียมอาฟริกันยืนยันกับเราได้ว่า ดินแดนซูเมอร์กับอาฟริกามีการติดต่อกันมาแสนนานมากมายกว่าที่เราคิดไว้นัก
ปัญหาในตอนนี้ของเราก็มีอยู่แค่ ปวงเทพเนฟิลิมตะกายลงไปทำอะไรที่อาฟริกากันครับ?
ปวงเทพแห่งโลกล่างและจารึกแห่งปัญญา
นี่เป็นคำถามสำคัญว่าเนฟิลิมมุ่งหน้าไปที่อาฟริกาทำไม เหตุใดพวกเขาจึงยอมให้ผู้นำที่มีความสามารถอย่าง Enki/Ea ไปประจำการอยู่ที่นั่น และทำไมจึงยอมมอบของสำคัญแห่งสภาเทพที่เรียกว่า Tablet of Wisdom หรือจารึกแห่งปัญญาให้ Ea ดูแล
...เรามาตีความดินแดน Arali - AB.ZU - Apsu กันก่อนดีกว่านะครับ
ความหมายเชิงวรรณคดีของ AB.ZU คือห้วงน้ำลึกดึกดำบรรพ์ แต่ปัจจุบันนักสุเมเรียนวิทยายอมรับกันแล้วครับว่า คำๆนี้ไม่จำเป็นต้องหมายถึงห้วงน้ำเสมอไป เพราะหลักไวยากรณ์ภาษาสุเมเรียนแล้วคำสองคำใดๆสามารถสลับตำแหน่งกันได้โดยความหมายไม่เปลี่ยน นั่นหมายถึงคำว่า AB.ZU กับ ZU.AB มีความหมายเหมือนกัน (ไม่เหมือนปลาภาษาไทยเนอะ ปลาปิ้งกับปิ้งปลามันคนละความหมายกันเลย) คำว่า ZU.AB เมื่อสะกดในภาษาเซมิติคจะได้คำว่า za-zb อันแปลว่าโลหะที่มีค่า โดยเฉพาะเมื่อหมายถึงทองคำ คำๆนี้จะใช้กันแพร่หลายในภาษาฮีบรูและภาษาอื่นในวงศ์วานเดียวกันครับ
อักษรภาพภาษาสุเมเรียนที่ใช้แทนคำว่า AB.ZU มีความหมายว่าการขุดลงไปในพื้นดิน - โดยเฉพาะการขุดด้วยวัตถุมีคม ดังนั้นเป็นไปได้ไหมครับว่าเรา(หมายถึงนักสุเมเรียนวิทยา)ตีความหมายของเทพเจ้า Ea ผิดไป แท้ที่จริงพระองค์มิใช่เทพแห่งห้วงน้ำลึก แต่เป็นเทพแห่งการขุดโลหะต่างหาก!
บทเพลงสรรเสริญ Ea ของคนโบราณได้ยกย่องให้พระองค์เป็น Bel Niniki ซึ่งแปลว่าเทพแห่งปัญญา แต่ความหมายที่แท้จริงๆของคำๆนี้คือเจ้าเหมืองแร่ เช่นเดียวกับจารึกแห่งชะตากรรม (Tablet of Destinies) ที่คำว่าชะตากรรมหมายถึงวงโคจรของดาวเคราะห์(ที่ผมกล่าวไปแล้วในบทที่ผ่านๆมา) ความหมายที่แท้จริงของจารึกแห่งความรู้ที่ Ea มอบแก่ Nergal และ Ereshkigal คือจารึกแห่งการทำเหมืองหรืออีกนัยหนึ่ง มันเป็น Data Bank ที่บรรจุความรู้ในการหาทรัพยากรของเนฟิลิมนั่นเอง
ระหว่างดำรงตำแหน่งผู้ปกครอง Abzu เทพเจ้า Ea มีโอรสองค์หนึ่งนาม GI.BIL (แปลว่าผู้เผาดิน)คอยเป็นมือขวาให้ความช่วยเหลืออยู่ GI.BIL เป็นเทพหนุ่มผู้มีเปลวเพลิงร้อนแรงลุกอยู่เหนือบ่า ทำหน้าที่ช่างถลุงเหล็กแห่ง Abzu จารึกกล่าวถึงการจุ่มบุตรชายลงในบ่อแห่งปัญญา นั่นคงหมายถึงการถ่ายทอดวิทยาการด้านวิศวกรรมเหมืองแร่ให้แก่บุตรชายของ Enki นั่นเองครับ
แร่ที่ขุดมาได้จะถูกลำเลียงไปยัง Bad-Tibira นครที่มีความหมายว่ารากฐานแห่งการแปรโลหะ โดยเฉพาะทองคำซึ่งจะถูกแปรรูปให้เป็นแท่งนั้นจะเห็นได้ว่า รูปแบบของทองแท่งเมื่อหลายพันปีก่อนกับในปัจจุบันนั้นเหมือนกันไม่มีเพี้ยน ภาพทองคำแท่งที่มีอยู่ทั่วไปในดินแดนซูเมอร์ยืนยันให้เราทราบความจริงข้อหนึ่งว่า นครแห่งปวงเทพนั้นมั่งคั่งและให้ความสำคัญกับทองคำเป็นพิเศษ
...เทพเจ้าก็ต้องการทองคำ แปลกดีเนอะ
การอ้างถึงทองคำและโลหะมีค่าในเอกสารโบราณ แสดงให้เห็นว่ามนุษย์มีความคุ้นเคยกับการแปรโลหะมานานแล้ว การค้าขายแลกเปลี่ยนโลหะอยู่คู่กับอารยธรรมมนุษย์ตลอดมา แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลทางความรู้ที่ถ่ายทอดมาจากยุคสมัยแห่งปวงเทพ เมื่อครั้งที่โลกนี้ยังไม่มีมนุษย์คนใดดำรงอยู่
... นี่คงเป็นคำตอบได้ว่า เหตุใดอารยธรรมยุคโลหะจึงปรากฏขึ้นมาแบบปุบปับ ทั้งที่ตามหลักวิวัฒนาการแล้วยุคหินใหม่ของมนุษย์ควรทอดระยะไปอีกนับล้านปี
ในไบเบิลเองก็มีการอ้างถึง Tebal - Cain อันหมายถึงอาวุโสผู้เชี่ยวชาญการแปรทอง, ทองแดง และเหล็ก ที่อาศัยอยู่บนโลกก่อนสมัยน้ำท่วมโลก
จากการศึกษาเกี่ยวกับการทำเหมืองแร่ของนักโบราณคดี ดร.เคนเนธ โอคเลย์ หัวหน้าทีมโบราณคดีแห่งพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติในลอนดอนกล่าวว่า
"การศึกษาของเรานำไปสู่มิติใหม่ของทฤษฎีแห่งการกำเนิดมนุษยชาติ จากหลักฐานทางความรุ่งเรืองและอื่นๆที่เราพบนั้น เป็นไปได้ที่อาฟริกาตอนใต้คือสถานที่วิวัฒนาการของมนุษย์ บ้านเกิดของลิงเปลือยที่ชื่อ โฮโม เซเปี้ยน"
รายละเอียดอันน่าสนใจในการวิจัยของ ดร.เคนเนธ โอคเลย์ หาอ่านกันได้ใน 12th Planet ฉบับเต็มนะครับ ผมไม่เล่าแล้วเพราะมันยาวมาก ขอสรุปไว้ตรงนี้แค่จากต้นบทมาจนถึงบรรทัดนี้ คุณจะเห็นว่ามนุษย์ยุคใหม่หรือโมเดิร์นแมนอย่างเราๆท่านๆยังไม่ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกใบนี้เลย แต่สิ่งนี้กำลังจะเกิดแล้ว สาเหตุก็มาจากอุตสาหกรรมการทำเหมืองแร่ของปวงเทพจากอวกาศนั่นล่ะครับ
But first... Search for Metals...
ทองคำ เงิน และ ทองแดงเป็นโลหะมีค่าที่จัดอยู่ในธาตุตระกูลทอง ธาตุเหล่านี้ถูกคนโบราณจัดให้อยู่ในตระกูลเดียวกันด้วยการจำแนกมวลอะตอม การตกผลึก คุณสมบัติทางเคมีและทางกายภาพที่คล้ายๆกัน คืออ่อนตัว สามารถทุบและดัดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทองคำที่เป็นตัวนำความร้อนและนำไฟฟ้าได้ดีที่สุดธาตุหนึ่ง
ในธาตุทั้งสามที่กล่าวมานี้ทองคำจัดเป็นธาตุที่แข็งแกร่งที่สุด มันถูกยกให้เป็นโลหะสูงค่า ถูกมนุษย์นำมาใช้ประโยชน์นานับประการ เป็นต้นว่า ใช้แทนเงินตรา ใช้ทำเครื่องประดับ ใช้กับอุตสาหกรรมอัญมณี หรือแม้แต่วงการคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ ทองคำเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของ micro-electronic หลายจำพวก เช่น การใช้ทองคำทำแผงวงจรและอุปกรณ์ชิ้นส่วนสำคัญของ CPU
...เรามักเรียกทองคำว่าโลหะแห่งกษัตริย์ ในความเป็นจริงแล้วทองคำเป็นโลหะของปวงเทพต่างหากล่ะครับ :)
เหล่าเนฟิลิมเดินทางมายังโลกเพื่อแสวงหาทรัพยากร ที่เน้นเป็นพิเศษคือธาตุในตระกูลทองคำ บางทีพวกเขาอาจต้องการธาตุหายากประเภทอื่นด้วย เช่นแพลทตินัมซึ่งมีอยู่มากมายในอาฟริกา เจ้าแพลทตินัมนี้เป็นหัวใจสำคัญในการให้พลังงานกับเซลเชื้อเพลิงของพวกเขา และที่เป็นไปได้มากกว่านั้นก็คือ เนฟิลิมต้องการธาตุประเภทกัมมันตรังสี เช่นยูเรเนียมหรือโคบอลต์ เพราะในเอกสารโบราณได้ระบุถึงหินสีฟ้าต้นเหตุแห่งโรค (blue stones that cause ill) ซึ่งหมายถึงธาตุที่แผ่รังสีออกมากได้ ภาพโบราณหลายชิ้นแสดงให้เห็น Ea ผู้เป็นราชาแห่งการทำเหมืองกำลังขึ้นมาจากอุโมงค์ขุดเจาะ วรกายของพระองค์ถูกรัศมีของหินมีค่าที่ทรงนำขึ้นมาด้วยฉาบฉายไปทั่วร่าง รัศมีนั้นร้อนแรงเสียจนปวงเทพอื่นๆต้องใช้โล่ห์บางอย่างกำบังเอาไว้ ภาพลักษณะนี้มีอยู่มากมายครับ และสวนใหญ่ Ea จะถือเลื่อยตัดหินอยู่ในมือด้วย
โครงการทำเหมืองแร่บนโลกมี Ea/Enki เป็นผู้นำก็จริงครับ (โปรดสังเกตว่า ในความหมายทั่วไปผมจะเรียกเทพองค์นี้ว่า Enki แต่เมื่อไรก็ตามที่บทของเทพองค์นี้ไปเกี่ยวข้องกับโลกล่าง ผมจะเรียกว่า Ea) แต่คุณต้องไม่ลืมข้อเท็จจริงบางอย่างว่าลำพังแค่ความรู้ความสามารถของ Enki องค์เดียวนั้นย่อมไม่สามารถทำให้งานลุล่วงไปได้ กำลังสำคัญจริงๆของการหาทรัพยากรแห่งปวงเทพนั้นเราต้องยกความดีให้เทพชั้นผู้น้อยกลุ่มหนึ่ง ซึ่งคนโบราณขนานนามพวกเขาว่า Anunnaki
มีเอกสารโบราณกล่าวถึง Anunnaki ในฐานะของเทพชั้นผู้น้อยที่เดินทางมาตั้งรกรากอยู่บนโลก พวกเขามีหน้าที่ผลักดันงานต่างๆให้ลุล่วง Epic of Creation ฉบับบาบิโลเนียนยกความดีความชอบของตำแหน่งผู้นำ Anunnaki ให้กับเทพเจ้า Marduk แต่เชื่อผมเถอะครับว่า เอกสารฉบับภาษาสุเมเรียนอันเป็นต้นตอของ Epic of Creation นั้นต้องยกเทพเจ้า Enki ให้ดำรงตำแหน่งนี้
เอกสารที่ว่ากล่าวถึงนักบินอวกาศยุคโบราณเหล่านี้ไว้อย่างน่าสนใจ:
Assigned to Anu, to heed his instructions,
Three hundred in the heavens he stationed as a guard;
The ways of Earth to define from the heaven;
And on Earth,
Six hundred he made reside.
After he their instructions had ordered,
to the Anunnaki of Heaven and Earth
he alloted their assignments.
ลิขิตโบราณนี้กล่าวถึง Anunnaki จำนวน 300 คน(ตน?)ที่จัดอยู่ในกลุ่มของอานันนาคีแห่งสวรรค์หรือ IGIGI อานันนาคีเหล่านี้ทำหน้าที่นักบินอวกาศอย่างแท้จริงครับ กล่าวคือพวกเขาอาศัยอยู่บนยานที่โคจรอยู่รอบโลก ยาน(หรือสถานีอวกาศ)ลำนี้มีหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกให้บรรดายานอวกาศอื่นๆซึ่งเดินทางไปมาระหว่างโลกกับชั้นบรรยากาศ ลิขิตบทหนึ่งกล่าวถึงเทพผู้นำของเหล่าอินทรีคือ Shamash/Utu ผู้เคยนำคณะอานันนาคีจากโลกขึ้นไปเยือนที่นั่น Shamash ได้รับการต้อนรับเยี่ยงวีรบุรุษ เหล่า Igigi ต่างพากันชื่นชมบารมีของ Shamash ขณะทรงดำเนินสู่คูหาสวรรค์ (Mighty great chamber in heaven) ของบรรดา Igigi
เอกสารโบราณชุดนั้นยังบอกกับเราอีกว่า ในความเป็นจริง Igigi มิเคยปรากฏโฉมให้มนุษย์โลกได้เห็นกันเลย เนื่องจากปวงเทพเหล่านั้นอยู่สูงเกินไป(แหงสิครับ เล่นอยู่เหนือชั้นบรรยากาศนี่นา) ตรงข้ามกับเหล่าอานันนาคีที่อาศัยอยู่บนโลก ปวงเทพกลุ่มหลังดูจะสนิทคุ้นเคยและเป็นที่ศรัทธาของพสกนิกรชาวโลกมากกว่า เอกสารโบราณได้ให้รายละเอียดอย่างชัดเจนเกี่ยวกับ Anunnaki ว่ามีกันทั้งหมดสองกลุ่ม คือกลุ่มที่อยู่บนสวรรค์(Igigi)จำนวน 300 และกลุ่มที่อยู่บนโลก(The Anunnaki) จำนวน 600
Sitchin สรุปเอาไว้ในหนังสือของเขา(พร้อมคำอรรถาธิบายอีกยืดยาว)ว่า เนฟิลิมไม่ได้ลงมาที่โลกของเราทีละทั้งหมดหรือมาเป็นขโยงหรอกนะครับ เพราะการเดินทางมีข้อจำกัดของมันอยู่ พวกเขาจึงต้องแบ่งกลุ่มทยอยกันลงมาที่โลกโดยกลุ่มหนึ่งประกอบด้วย Anunnaki จำนวน 50 คน คงเหมือนการลำเลียงพลในปัจจุบันกระมังครับ ที่จำนวนของคนต่อเที่ยวบินนั้นขึ้นอยู่กับความจุของยานพาหนะที่จะบรรทุกไปได้
แล้วสงสัยกันบ้างหรือเปล่าล่ะครับว่า เนฟิลิมซึ่งทยอยลงมายังโลกทีละกลุ่มนั้นรวมกันเบ็ดเสร็จอย่างมากก็ไม่เกินพัน แล้วทำไมพวกเขาต้องสร้างมหานครสร้างอารยธรรมอันยิ่งใหญ่ขึ้นบนดินแดน Sumer ด้วย ลำพังคนจำนวน 600 คนนั้นสร้างโคโลนี่เล็กๆก็พอไม่ใช่หรือ
เรื่องของเรื่องมันเกิดขึ้นต่อจากนี้แหละครับ จากคำถามที่ว่าเหล่าเนฟิลิมคาดหวังอะไรเอาไว้กับโครงการทำเหมืองแร่บนโลก การขุดทรัพยากร - แปรรูป - ลำเลียงกลับดาวเคราะห์ดวงที่ 12 มันเป็นงานหนักเกินกว่าที่คนหยิบมือเดียวจะทำได้ แม้เทคโนโลยีของพวกเขาจะไฮเทคขนาดไหนก็ตามที
การสร้างมนุษย์ต้นแบบคนแรก, Lulu = Primitive Worker
ภาพพิมพ์ลูกกลิ้งในพิพิธภัณฑ์ Louvre ภาพหนึ่งแสดงให้เห็น Ea ในฐานะเทพเจ้าแห่งสายน้ำหลาก ภาพแบบนี้มีให้เห็นจนชินตาสำหรับนักสุเมเรียนวิทยาครับ แต่บังเอิญว่ามันมีความพิเศษอยู่อย่างหนึ่งตรงที่สายน้ำหลากของ Ea ไหลรินออกมาจากอุปกรณ์บางอย่างซึ่งคล้ายกับหลอดทดลองที่ใช้กันในห้องแล็บ มาถึงตรงนี้คงไม่ต้องย้ำกันมากความว่า Ea ถูกชาวสุเมเรียนโบราณยกย่องให้เป็นเทพเจ้าแห่งสายน้ำ และในขณะเดียวกัน พระองค์ถูกยกย่องให้เป็นราชาแห่งการทำเหมืองแร่ด้วย
ก็แล้วมันสำคัญยังไงรึ?
...มันก็ไม่เป็นการยากสำหรับเราที่จะเดาว่า ปวงเทพเนฟิลิมมีความหวังเหมือนกันกับที่มนุษย์ยุคปัจจุบันหวังเอาไว้ นั่นคือการดำลงไปขุดเอาทรัพยากรอันมีค่าขึ้นมาจากใต้ทะเล สินแร่เอย ทองคำเอย ปริโตเลียมเอย... มีอะไรบ้างล่ะครับที่เราจะหาไม่ได้จากท้องทะเล
เพียงแต่ว่างานขุดหาทรัพยากรจากท้องทะเลนั้น มีข้อจำกัดกว่าการทำเหมืองแร่บนบก มนุษย์เราไม่ใช่ปลาที่จะหายใจในน้ำได้นานๆ เนฟิลิมก็เช่นเดียวกัน
มีงานเขียนมากมายของชาวสุเมเรียนโบราณที่กล่าวถึงเรือแห่งเทพเจ้า โดยเฉพาะเรือที่ชื่อ Elippu Tebili (Sunken-Ship ไม่ใช่เรืออับปางนาขอรับ หมายถึงเรือดำน้ำต่างหากล่ะ) ที่มักมีบทบาทคู่กันกับมนุษย์มัจฉา(Fish-men)ที่ได้รับมอบหมายจาก Ea คอยทำหน้าที่ดำน้ำลึกเพื่อแสวงหาทรัพยากรให้แก่เนฟิลิม และดินแดนที่ปวงเทพปักหลักตั้งอาณานิคมเพื่อแสวงหาทรัพยากรกันอย่างจริงจังนั้น เรารู้จักกันในนามของอราลี - Arali - A place of the waters of shiny lodes...
ถ้านี่เป็นแผนการของเนฟิลิมในการตั้งรกรากบนโลกของเรา(ซึ่งเมื่อก่อนเป็นของพวกเขา ^^)จริงๆแล้วล่ะก็ คุณคงเห็นด้วยกับผมว่ามันเป็นงานที่หืดขึ้นคออยู่ไม่น้อย คิดดูเอาเถอะครับ Anunnaki เพียงไม่กี่ร้อยคนกับงานเหมืองแร่ในทวีปอาฟริกา พวกเขาต้องอาบเหงื่อต่างน้ำแบกรับภาระอันแสนหนักในการทำเหมือง ขุดแร่ธาตุ แปรรูป และลำเลียงมันกลับไปยังดาวแม่ด้วยความยากลำบาก เดินทางมาหรือก็แสนไกล แผ่นดินที่อาศัยอยู่ก็ไม่คุ้นเคย แถมยังต้องทำงานแบบไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวัน ความรู้สึกของเนฟิลิม/อานันนาคีในตอนนั้นคงไม่ต่างจากความรู้สึกของคนงานเหมืองถ่านหินในยุคบุกเบิกของอเมริกาเท่าไหร่หรอก
เอกสารภาษาบาบิโลเนียนและอัสสิเรียนในยุคหลัง กล่าวถึงมนุษย์ทั้งวัยเยาว์และวัยชราถูกส่งไปทำงานในเหมืองแร่ที่โลกล่าง (Lower world) พวกเขาทำงานอยู่ในความมืดและกินฝุ่นต่างข้าว ความลำบากเหล่านี้เองที่ทำให้บรรดาคนงานพากันล้มตายก่อนมีโอกาสได้กลับสู่มาตุภูมิ และเป็นสาเหตุที่ทำให้ชาวสุเมเรียนเรียกดินแดนแห่งเหมืองแร่นั้นว่า KUR.NU.GI.A (Land of no return) ซึ่งจริงๆแล้วความหมายตามตัวอักษรของมันคือ "ที่ๆปวงเทพทำงาน, ขุดหาสินแร่ในอุโมงค์ลึก"
ในช่วงเวลาที่ปวงเทพตั้งรกรากอยู่บนโลกนั้น เอกสารโบราณเล่าว่ายังไม่มีมนุษย์คนใดดำรงอยู่บนโลกใบนี้ และนั่นหมายถึงภาระทั้งหลายต้องตกอยู่บนบ่าของเทพชั้นผู้น้อย เมื่อครั้งที่ Ishtar เดินทางไปเยือนโลกล่างนางได้พรรณนาอย่างเห็นใจเหล่า Anunnaki ผู้ทำงานหนัก กินอาหารที่เปื้อนโคลน ดื้มน้ำอันขุ่นข้นเพราะฝุ่นละออง
ภาพโบราณแสดงการทำเหมืองแห่งปวงเทพที่โลกล่าง
จากพื้นความรู้ดังกล่าวนี้ เราจึงสามารถเข้าใจมหากาพย์ขนาดยาวที่ชื่อ "When the gods, like men, bore the work" หรือ "เมื่อพระเจ้าผู้ทำงานหนักเยี่ยงมนุษย์เกิดหน่ายงาน" มหากาพย์เรื่องนี้ยังได้เล่าสาเหตุอันนำไปสู่การจราจลของ Anunnaki เอาไว้ว่า
When the gods, like men,
bore the work and suffered the toil.
the toil of the gods was great,
the work was heavy,
the distress was much.
ในเวลานั้นนครแห่งปวงเทพทั้งเจ็ดแห่งถูกสถาปนาขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว มีการแบ่งสายบังคับบัญชาและแต่งตั้งผู้นำอย่างชัดเจน (ย้อนกลับไปอ่านเรื่องนครแห่งปวงเทพกันเอาเองนะครับ ^^) ผบ.ทั้งเจ็ดหรือ The Seven Great Anunnaki ต่างให้ปวงเทพชั้นผู้น้อยทำงานหนักเพื่อพวกเขา (พูดให้สวยงามกว่านั้นคือเพื่อดาวเคราะห์ดวงที่ 12) เทพชั้นผู้น้อยตรากตรำและสับสนเพราะงาน จนกระทั่งเมื่อเวลาล่วงเลยไปแสนนาน เหล่า Anunnaki ที่เหนื่อยยากจึงร่ำร้องขึ้นมาว่า "กูทนไม่ไหวแล้วโว๊ย!" (ต้นฉบับใช้คำว่า No more! น่ะครับ แหะ แหะ...)
โอกาสในการก่อจราจลมาถึงเมื่อ Enlil เสด็จมาดูกิจการที่โลกล่าง ปวงเทพชั้นผู้น้อยต่างกล่าวแก่กันและกันว่า จะบุกเข้าหาเทพ Enlil เขย่าขวัญพระองค์ด้วยเสียงเรียกร้องขอความเป็นธรรม หาก Enlil ไม่ทรงยอมรับฟัง การกบฏย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
...เอกสารโบราณกล่าวถึงผู้นำในการปลุกระดมสหภาพแรงงาน Anunnaki ว่าครั้งหนึ่งคนๆนั้นเคยเป็นผู้ปกครองแต่เก่าก่อน หมายถึงก่อนที่อำนาจการบัญชาการจะถูกเปลี่ยนมือไปยังเทพเจ้า Enlil แม้เอกสารจะไม่ระบุนามหัวโจกผู้ก่อม็อบรายนั้นแต่ผมว่าคุณคงเดาออกว่าเขาเป็นใคร เสียงปลุกปลอบขวัญ เสียงยั่วยุให้เทพชั้นผู้น้อยพากันก่อจราจลดังกึกก้องไปทั่วเหมืองลึก
Now proclaim war;
Let us combine hostilities and battle.
เอกสารโบราณเล่าสภาพของการก่อจราจลอย่างมีชีวิตชีวา ฝูงชนลุกฮือทำลายข้าวของในเหมืองจนหมดสิ้น อุปกรณ์อันมีค่าถูกเผาและทำลาย เหมืองถูกปิด กลุ่มอานันนาคีพากันตบเท้าเข้าพบเทพเอนลิลผู้นำสูงสุดของพวกเขา
นุสคูที่ปรึกษาของมหาเทพเอนลิล
ไม่ต้องบอกคุณก็เดาอารมณ์ของ Enlil ได้ใช่ไหมครับ? ความโกรธกริ้วที่บรรดาเทพชั้นผู้น้อยละทิ้งงานทำให้ Enlil คิดจะใช้กำลังเข้าปราบ แต่ที่ปรึกษานาม Nusku ได้แย้งขึ้นมาว่าไม่บังควรที่มหาเทพจะตัดสินพระทัยเช่นนั้น Nusku ออกหน้าเจรจากับกลุ่ม Anunnaki ที่ยืนอออยู่หน้าประตูใหญ่ เขาสงสัยว่าใครกันนะที่เป็นแกนนำของม็อบกลุ่มนี้ Nusku ได้ถามเทพชั้นผู้น้อยเหล่านั้นว่า "Who is the provoker of hostilities?" ซึ่งก็ได้รับคำตอบจาก Anunnaki เป็นเสียงเดียวกันว่า
Every single on of us gods has was declared!
We have our... in the excavations;
Excessive toil has killed us,
Our work was heavy, the distress much.
คำรายงานของ Nusku ทำเอา Enlil ต้องหลั่งน้ำพระเนตรด้วยความสงสาร แต่กฏก็ย่อมต้องเป็นกฏ ท้าวเธอทรงนำความไปปรึกษากับสภาเทพบนดาวเคราะห์ดวงที่ 12 เสนอแนะให้ลงทัณฑ์บรรดาผู้ร่วมชุมนุมแต่บิดรเทพ Anu กลับไม่ทรงเห็นด้วย พระองค์เข้าข้าง Anunnaki และสั่งให้เทพ Enlil ระงับความคิดที่จะใช้ความรุนแรงเข้าแก้ปัญหาเสีย เพราะประกาศิตของบิดรเทพนี้เอง Enki/Ea จึงรีบกล่าวคำสนับสนุนดำริของพระบิดารวมถึงเสนอทางแก้ในการแก้ปัญหา
...หากปวงเทพเหนื่อยยากที่จะต้องทำงานแล้วไซร้ ทำไมสภาเทพจึงไม่ทำการสร้างคนงานต้นแบบ เพื่อให้คนงานเหล่านี้ทำงานให้กับปวงเทพเจ้าเล่า?
While the Birth Goddess is present,
Let her create a Primitive worker;
Let him bear the yoke...
Let him carry the toil of the gods!
ข้อเสนอในการสร้างคนงานต้นแบบได้รับการสนับสนุนจากสภาเทพอย่างรวดเร็ว ที่ประชุมมีมติให้เทวีแห่งการกำเนิดร่วมมือกับ Ea ในการพัฒนาโปรเจ็คเจโนวา เอ๊ย... พัฒนาโครงการนี้ โดยคนงานต้นแบบนั้นถูกตั้งชื่อเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่า "มนุษย์"
เหล่าเนฟิลิมที่ตั้งรกรากอยู่บนโลก ได้สร้างแรงงานเพื่อรับภาระแทนพวกเขาเหมือนที่มนุษย์เคยใช้แรงงานจากทาส(อันเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน) ทาสของเนฟิลิมมิได้มาจากการล่าเมืองขึ้นหรือซื้อหาเอาจากอาณาจักรอื่น แต่เป็นผลงานที่ถูกรังสรรค์ขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีด้านพันธุวิศวกรรมของเนฟิลิมนั่นเอง