วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

Ancient Astronaut: บทที่ 4 ปริศนาจากเทพตำนาน

Ancient Astronaut: บทที่ 4 ปริศนาจากเทพตำนาน

กล่าวถึงเทพตำนานของคนโบราณแล้ว เรา ๆ ท่าน ๆ คงคุ้นเคยกับเทพนิยายกรีกและโรมันกันเป็นส่วนใหญ่ เพราะแม้แต่ในปัจจุบัน ชื่อเหล่านั้นยังคงวนเวียนอยู่ในชีวิตประจำวันของเราอย่างไม่ห่างหาย แต่ทว่านะครับ ต้นตอของเรื่องพวกนี้สามารถสืบสวนย้อนหลังนับจากยุคกรีก - โรมันไปนานกว่านั้นมากนัก โดยเฉพาะถ้าจะเจาะกันจริง ๆ แล้ว ต้นกำเนิดของเทพตำนานที่เก่าแก่ที่สุดในโลกมาจากดินแดนเมโสโปเตเมียและอียิปต์ เรื่องของ Anunnaki แห่งสุเมเรียน หรือทวยเทพในแอสตราฮาซิส เชื่อว่าหลายท่านคงฟังผมพล่ามจนเอียนแล้ว ถ้างั้นก็พักอาการเอียนไว้ก่อนดีกว่า เพราะช่วงหลังของซีรีส์นี้ ผมจึงทำให้ท่านเอียนแบบเต็ม ๆ กับ Full defail ของเทพตำนานจากสุเมเรียน ตอนนี้เรามาโฟกัสกันที่อียิปต์ก่อนเป็นไรครับ ?






เป็นที่ทราบกันดีว่า ชาวอียิปต์โบราณไล่ตั้งแต่องค์ฟาโรห์มาจนถึงไพร่ฟ้าตาดำ ๆ ล้วนเชื่อในเรื่องชีวิตหลังความตายทั้งสิ้น แรงบันดาลใจของความเชื่อดังกล่าวอาจมาจากเทพของพวกเขา อาทิเช่น ราหรือโฮรัส ซึ่งตามตำนานระบุไว้ว่าเทพเหล่านั้นเป็น "อมตะ" ไม่มีวันตาย เอ… มีด้วยเหรอครับ อมตะไม่มีวันตายเนี่ย ถ้าสมมติ(สมมตินะครับ) ว่าเทพเหล่านั้นเป็นอมตะจริง อะไรคือความลับของความเป็นอมตะนั้น ? แล้วสมมติต่ออีกรอบ เกิดว่าเทพโบราณของอียิปต์ไม่ได้เป็นอมตะจริงหากแต่มีอายุยืนยาวมาก ไพร่ฟ้าหน้าใสของอียิปต์ย่อมอยู่ไม่ถึงวันกรวดน้ำของเทพเหล่านั้นแน่นอน เกิดมากเทพโบราณก็คงอยู่อย่างนั้น ตายไปจนถึงขั้นลูกหลายแก่แล้วเทพเหล่านั้นก็ยังคงอยู่ น่าคิดไหมครับว่าบันทึกเกี่ยวกับความเป็นอมตะอาจมาจากเหตุผลที่ผมกล่าวก็ เป็นได้ ประมาณว่าอายุยืนจะลิขิตเข้าใกล้อินฟินิตี้ว่างั้นเถอะ

ฟาโรห์ของอียิปต์โบราณเชื่อถึงการเดินทางสู่สถานที่ที่เรียกว่า "Duat" มันเป็นทริปที่ยาวนานข้ามแม่น้ำที่อยู่ระหว่างภูเขาสองลูก สู่สถานที่ที่อาจจะเรียกได้ว่า ประตูสู่สวรรค์ … Stariway to Heaven (ขอใช้คำนี้เหอะ มันคล้องจองดี) ที่สามารถพาฟาโรห์ไปถึงสวรรค์จริง ๆ ณ ที่นั้น ฟาโรห์จะได้รับความเป็นอมตะดังพระเจ้าของฟาโรห์ทุกประการ แหม …

อะไร กันนะที่เข้าฝันให้ฟาโรห์คิดอย่างนั้นความรู้ทั้งหลายเกี่ยวกับความเชื่อใน ชีวิตหลังความตายของอียิปต์นั้น นักโบราณคดีได้มาจากจารึกเฮียโรกริฟฟิค ซึ่งในบางครั้งเราเรียนกอักษรภาพเหล่านี้ว่า Pyramid Texts ซึ่งหนึ่งในนั้นมีแหล่งข้อมูลที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีอยู่ชุดนึง คัมภีร์มรณะหรือ The Book of the Dead ไงครับ ในภาพที่ปรากฏใน Ani Papyrus มีอยู่ภาพหนึ่งที่องค์ฟาโรห์ เตรียมตัวเดินทางสู่โลกแห่งความตาย โดยนั่งอยู่ในพาหนะรูปร่างคล้ายจรวด คำบรรยายยังกล่าวต่อไปว่าด้วยพระจรวดของฟาโรห์ พระองค์ต้องเดินทางผ่านสุสาน - วิหาร ใต้ดินมากมายใน Duat มีอยู่ที่นึงที่พระองค์จะทรงได้ยินเสียง "กึกก้องราวกับเกิดพายุฟ้าคะนองบนสรวงสวรรค์" ต่อมาฟาโรห์ต้องผ่ายเข้าประตูที่ "เปิดปิดได้ด้วยตัวของมันเอง" มีเสียงของบรรดาเทพดังเหมือน"ผึ้งบิน"ขณะเปิดประตู ในบางครั้งฟาโรห์บางองค์อาจเผชิญกับเทพโบราณในนั้น แต่ทวยเทพทั้งหลายได้แต่ซ่อนหน้าไว้มิให้ฟาโรห์เห็น มีเพียงเหล่าเทพธิดาเท่านั้นที่ยินยอมเผยโฉมหน้า


ฟาโรห์ต้องขึ้นเรือของเทพราที่แสดงรูปลักษณ์อันเจิดฟ้าด้วยแสงแห่งเพลิงทรงอาภรณ์ แห่งเทพพร้อมโดยสารเรือดังกล่าวมาจนถึงจุดที่เรียกว่า Mountain of Ascender to the sky ณ ที่นั้น ฟาโรห์จะก้าวลงจากนาวาพาหนะซึ่งในจารึกกล่าวว่ายาวถึง 770 คิวบิท (พันฟุต?) ทรงเข้านั่ง ณ บัลลังก์ที่ลักษณะเหมือนเก้าอี้นักบิน รอชั่วครู่เสียงกึกก้องก็จะดังขึ้น ปากภูเขาแห่งเทพก็จะเปิดออกดังครืน ๆ (ยังกะมาชินก้า-Z จะออกโรงเลยแฮะ) และนาวาพาหนะขององค์ฟาโรห์ก็เตรียมจะ...


The Door to Heaven is open!
The Door of Earth is open!
The aperture of the celestial windows is open!
The Stairway to Heaven is open!
The Steps of Light are revealed
The double Doors to Heaven are open ;
The double Doors of khebhu are open
For Horus of the east, at daybreak
The Heaven speaks; the Earth guakes ;
The Earth trembles ;
The two districts of the gods shout ;
The ground is come apart …
When the king ascends to Heaven,
When the ferries over the vault (สวรรค์ ?)





แหม … อ่านคำบรรยายแล้วอึ้งดีนะครับ การเดินทางของฟาโรห์เป็นผลผลิตจากจินตนาการของคนโบราณล้วน ๆ หรือ ? ผมอ่านแล้วยังกะอ่านคำบรรยายก่อนการปล่อยจรวดของ NASA เชียว มีประตูอัตโนมัติ ระบบวิดีโอควบคุมที่เห็นหน้าคู่สนทนาผ่านจอ แล้วมี speaker device ที่ทำเสียงพูดเหมือนผึ้งตัวหึ่ง ๆ แถมก่อนปล่อยยานยังมีการเช็ค Launcher

เปิดประตูหนึ่ง…
ประตูสอง…
เตรียมพร้อม…
ยิง!!!


ไม่ใกล้ไม่ไกลจากอียิปต์เท่าไรนัก ที่แถบตะวันออกกลางครับ บันทึกของชาวฮีบูรว์ใน ไบเบิลโบราณก็มีลักษณะคล้าย ๆ กัน พระเจ้าจะเสด็จลงมาแต่ละครั้งเป็นต้องไล่ชาวอิสราเอลไปซ่อนตัวหลังหินใหญ่ หรือไม่ก็เลือกลงตามภูเขา เช่นภูเขาซีนาย เพราะอะไรงั้นหรือครับ ?

เรื่องราวในไบเบิลยังกล่าวถึง อุปกรณ์บางชิ้น ที่เราไม่อาจมองข้ามประสิทธิภาพของมันเช่น หีบ Ark (Ark of the covenant) ที่ยะโฮวาใช้ติดต่อกับโมเสสรวมทั้งชาวอิสราเอลอื่น ๆ ในยุคหลัง หีบศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวประกอบด้วย "cherubim" ที่ทำหน้าที่ยังกะเสาวิทยุ คำสั่งของยะโฮวาที่ถ่ายทอดออกมาต่อผู้ครองหีบก็ยังกับคำแนะนำของเสนาธิการนา โต้ใน Sum of all fears ยังไงยังงั้น

ทำไมล่ะครับ ???

ทั้งๆที่นี่มาจากบท Exodus ในพระคัมภีร์เมื่อกว่า 2,500 ปีก่อนแท้ ๆ แต่ทำไมลักษณะของการสื่อสารระหว่างยะโฮวา และผู้นำชาวอิสราเอลจึงดูเหมือนการสื่อสารผ่านวิทยุระบบไกลยังไงยังงั้น องค์ประกอบของหีบศักดิ์สิทธิ์ตามบทบรรยายนั้นเล่า ประกอบด้วยขั้วไฟฟ้า ตัวหีบทำด้วยไม้ สามารถสื่อสารกันในระยะไกล ๆ ได้ มันเป็นเพียงจิตนาการของคนโบราณกระนั้นหรือครับ?

ทวนมาดูเรื่องเก่า ๆ ที่ผมเคยทำเอาไว้ "ไบเบิ้ลและพระเจ้าจากอวกาศ" ท่านที่เคยอ่านคงพบอะไร ๆ ที่แปลกประหลาดผิดยุคสมัยมากมายในนั้น และที่แน่ ๆ คงพบว่าผม - นายโซนิคยังเรียบเรียงเรื่องนั้นไม่จบ ผมยังไม่ได้เฉลยกัท่านถึงความเกี่ยวกันที่แท้จริงระหว่างยะโฮวากับพระ คัมภีร์ไบเบิ้ล ไม่ต้องเป็นห่วงครับ เพราะ Ancient Astronaut Revisited คือ หนึ่งในบทสรุปของไบเบิลกับพระเจ้าจากอวกาศ ถ้าผมยังมีชีวิตอยู่จึงถึงขั้นเขียนบทความชุดนี้จบ ท่านจะได้พบแน่ ๆ ครับว่าตัวตนของยะโฮวานั้นที่แท้เป็นใครกัน และมักท่องอวกาศผู้รับสมอ้างเป็นพระเจ้าผู้นี้ เกี่ยวพันอย่างไรกับอารยธรรมสุเมเวียนโบราณ รออ่านกันไปเรื่อย ๆ นะครับ …


เทคโนโลยียุคโบราณ






[The Lord said ' Go aut and stand on the mountain in the presence of the Lord, for the Lord is about to pass by'. Then a great and powerful wind ture the mountains apart and shattered the rocks before the Lord, but the Lord was not in the wind.

After the wind there was an earthquake, but the Lord was not in an earthquake. After the earthquake came a fire, but the Lord was not in the fire. And after the fire came a gentle whisper. When Elijah heard it the pulled his cloak over his face and went out and stood at the mouth of the cave]


ครับ ภาษาปะกิตยาวยืดที่คัดมานี้ เป็นการบรรยายเหตุการณ์ที่เอไลจาห์ (Elijah) พบกับพระเจ้าหรือยะโฮวา ที่มีอยู่ในไบเบิล สำหรับคนโบราณหลังยุคไบเบิลนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเราจะมองเนื้อหาเหล่านี้เป็น Myth เทพ ตำนานหรือเทพนิยายอันเต็มไปด้วยกฤษฎาภินิหาร แต่สำหรับพวกเราที่มีชีวิตอยู่หลังยุคศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา ในยุคที่สามารพัฒนาจรวดและเครื่องบินเจ็ทได้แล้วเราสามารถรู้ถึงความหมายและ สิ่งที่เอไลจาห์พบเห็น ว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นมันคืออะไร แน่นอนครับ ในคำบรรยายภาพที่เอไลจาห์เห็นนั้นศัพท์แสงอาจฟังดูโบราณพิลึกพิลั่น บางท่านก็ทักท้วงบ้างแหละว่าสิ่งที่ปรากฎในคำบรรยายนั้นไม่มี "อะไร" ที่บอกออกมาชัดเจนว่า สิ่งนั่นสิ่งนี้ที่กล่าวถึงคือเครื่องเจ็ทหรือจรวดตามที่นักลึกลับศาสตร์ หลายคนกล่าวอ้าง

คิดอย่างนั้นหรือครับ?

ถ้าคุณเป็นคนโบราณเหล่านั้น (หรือไม่โบราณก็ได้เอ้า) แล้วมาพบเห็นคอมพิวเตอร์ - เครื่องบิน - รถบรรทุกสักลำ(เครื่อง) ทีนี้นายโซนิคลองให้คุณบรรยายถึงสิ่งเหล่านั้น โดยไม่ให้ใช้คำในศตวรรษปัจจุบันของเราแม้สักคำเดียวโดยเฉพาะศัพท์ที่ใช้ เรียกมัน เช่น Computer, AirShip , อะไรทำนองนี้ผมว่าพวกเราก็บรรยายสิ่งที่เห็นได้ไม่ต่างจากคนโบราณหรอกน่า จริงไหม?

สุดท้ายคำบรรยายถึงเครื่องบินประเภทขึ้นลงแนวดิ่งสไตล์แฮริ เออร์ก็คงออกมาแบบเดียวกับ Elijah's vision ที่ผมยกมาตั้งแต่ต้น และเรื่องราวเหล่านี้

ภาพแบบนี้มีกระจัดกระจายเต็มไปหมดในตำนานโบราณของชนชาติซึ่งเจริญด้วยอารยธรรม แบบผิดยุค ลงอีกแบบนี้การเพิกเผยทฤษฎีที่ว่าด้วย Ancient Astronaut ก็คงเป็นสิ่งไม่ถูกไม่ควรนักหรอก ใช่ไหมล่ะครับ ?

ถัดจากเรื่องราย ของอากาศยานยุคโบราณ ซึ่งมีปรากฎในตำนานโบราณอยู่เต็มไปหมดตามที่ผมกล่าว คนโบราณหลายเผ่ามีความเชื่ออย่างลึกล้ำเกี่ยวกับตำนานการสร้างมนุษย์โดย เหล่าพระเจ้า (ครับ Gods ไม่ใช่ God) ตำนานพร้อมรายละเอียดเหล่านั้นปัจจุบันคือแหล่งข้อมูลล้ำค่าที่อาจเพิกเฉยไม่ได้เสียแล้ว






เมื่อร้อยกว่าปีมานี้เอง ศาสตร์ในสาขา Genetic engineering คือความเพ้อฝันที่ไม่ต่างอะไรกับมนตร์ดำ ณ ปัจจุบัน ในจุดที่พวกเรายืนอยู่ ความเป็นไปได้ทั้งหลายทั้งปวงที่จะเจริญรอยตามพระเจ้าโบราณนั้นคงอยู่แค่มือ เอื้อมถึง หลายองค์กรเริ่มมองไปข้างหน้ามองออกไปไกลจากโลกเบี้ยว ๆ ใบนี้ มองถึงการขยายอาณานิคมและสร้างเผ่าพันธุ์ใหม่ในห้องอวกาศอันไกลโพ้น

ครับ ฝันถึงสิ่งที่เคยเกิดกับโลกของเรามาแล้วครั้งหนึ่ง ราวกับว่ามันคือสากลวัฎจักรแห่งห้วงอวกาศเสียกระนั้น …





นอกเรื่องนิด ทุกวันนี้แนวคิดเรื่องสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญานอกโลกเริ่มได้รับการยอมรับ ขึ้นเรื่อย ๆ จะด้วยสาเหตุอะไรก็ตามแต่ ชาติใหญ่ ๆ ที่มีองค์กรวิทยาศาสตร์ระดับเบิ้ม ๆ ต่างทุ่มเงินนับร้อยนับพันล้านดอลลาร์ยูเอส เพื่อค้นหาสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญานอกโลกอย่างเอาเป็นเอาตาย โครงการที่เป็นที่คุ้นเคยของเรา ๆ ท่าน ๆ (แถมบางคนอาจมีส่วนร่วมในการประมวลผลโปรแกรมของโครงการนี้อยู่ด้วยซ้ำ ใครที่ยังไม่เคยลองอยากลองมีส่วนร่วมกับโครงการระดับโลกนี้ไม่ยากครับ ขอแค่คุณมีคอมพิวเตอร์ที่ออนไลน์ได้ก็พอ) เอ่ยชื่อมาไม่ใครก็ต้องร้องอ๋อ โครงการ SETI ยังไงละครับ

แล้ว SETI ค้นพบอะไรบ้าง ?
แทบจะไม่เลยครับผมว่า ปัจจุบันผลการดำเนินงานของโครงการนี้หาได้เป็นชิ้นเป็นอันแต่ประการใดไม่ เรายังไม่พบวี่แววของสิ่งที่ต้องการพบในห้วงอวกาศอันไกลโพ้น คลื่นวิทยุเอย อะไรต่อมิอะไรเอยที่เราเฝ้ามองหาร่วมกับโครงการ SETI ไม่ได้เผยโฉมมาให้เราเลยแม้แต่เศษเสี้ยว

พวกเรามองไกลกันเกินไปหรือว่าหากันผิดที่หรือเปล่าครับ ?
แล้วพวกเราคาดหวังจะเห็นสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาประเภทไหนกัน?


จินตนาการ - ภาพยนตร์ - นิยายวิทยาศาสตร์ สร้างภาพสิ่งมีชีวิตนอกพิภพออกมาอย่างน่าเกลียดน่ากลัว จริง ๆ แล้วสิ่งเหล่านั้นอาจมิใช่เอเลี่ยนฟันแหลม น้ำลายเยิ้มอย่างที่เราวาดภาพกัน อ่างมีไบเบิ้ลและตำนานของเมโสโปเตเมียกล่าวไว้นั่นแหละ เอโลฮิมเอย ILLUเอย เทพโบราณทั้งหลายทั้งปวงล้วนแต่สร้างมนุษย์ให้มีรูปลักษณ์ ประหนึ่ง เหล่าเทพทั้งสิ้น ผมจะไม่แปลกใจเลยหากวันหนึ่งโลกเราก้าวหน้าพอที่จะสานสัมพันธ์กับเครือข่าย อื่นในห้วงเอกภพได้ และประชาคมในเครือข่ายเหล่านั้นเป็นเอเลี่ยนที่มิได้มีหน้าตาพิลึกพิลั่น เหมือนในนิยายตรงข้าม พวกเขาเหมือนเราทุกประการนับแต่เส้นผมจรดปลายเท้า แล้วพวกเราจะรู้สึกกันยังไงนะครับตอนนั้น น่าคิดนะ จะเหมือนเด็กกำพร้าที่ได้พบพ่อแม่ที่พัดพรากกันมาเป็นสิบ ๆ ปีหรือเปล่าหนอ ?

พระเจ้าล่ะมั้งถึงจะตอบคำถามนี้ได้...





คัมภีร์ พันธสัญญาเก่ากล่าวถึงเรื่องราวของ เอเซเกล (Ezekiel) นักบวชชาวยิวในยุคประมาณ 600 ปีก่อน ค.ศ. กับสิ่งที่เขาได้ประจักษ์ภาพที่เอเซเกลถ่ายทอดออกมา ดูพิลึกพิลั่นทั้งศัพท์แสงและมโนภาพ พระเจ้า กับ เทวฑูตที่ เอเซเกลพบเห็นนั้นแปลกประหลาดยิ่งนัก เป็นหนึ่งในหลายบทที่ทำให้ศาสนาจารย์ผู้เคร่งครัดต้องกระอักกระอ่วน ผมจะไม่ Quote หรือ แปลสิ่งที่เอเซเกล กล่าวถึงออกมาหรอกนะครับ ให้ search เอาเองละกันเพราะหลายไซต์มีข้อมูลละเอียดยิบเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ ลองใช้ keyword ว่า Ezekiel space ship ก็ได้

ที่ยกเรื่องเอเซเกลขึ้นมาเพราะมันคือตัวอย่างที่ดี ในกรณีของการกล่าวถึงเทคโนโลยีโบราณที่พวกเราไม่มีวันจะตีความออก จนกว่าเทคโนโลยีของพวกเราจะก้าวถึงจุดนั้น จริงแล้วกรณีของเอเซเกลเป็นเคสคลาสสิคที่สาวกทฤษฎีพระเจ้าจากอวกาศมักเอามา กล่าวอ้างถึง เมื่อต้องการยกตัวอย่างสนับสนุนทฤษฎีนี้ ซึ่งเชื่อเหลือเกินว่า หลายท่านคงอ่านจนเอียนกันไปแล้วด้วยซ้ำ ผมจึงไม่อยากเอามาขยายให้เอียนหนักกว่าที่เป็นอยู่ไงครับ

สำหรับ ท่านที่ยังไม่ทราบ ผมขอสรุปสั้น ๆ ให้ละกันว่า มีนักวิทยาศาสตร์หลายคน เอาเรื่องในไบเบิลไปตีความและพยายามดึงเอาเหตุการณ์ "ผิดวิสัย" ในนั้นมาอธิบายในมุมมองของเทคโนโลยีปัจจุบัน กรณีของ Ezekiel ก็เช่นกันครับ

Josef Blumrich เป็นวิศวกรการบินขององค์การ NASA เขาเป็นหนึ่งในคริสเตียนที่เคร่งครัด และศึกษาไบเบิลอย่างลึกซึ้งมาแทบทุกเวอร์ชั่น Blumrich ประหลาดใจกับภาพของพระเจ้าและทูตสวรรค์ซึ่งปรากณในคำบรรยายของไบเบิลเป็น อย่างมาก เขาเก็บความคลางแคลงใจนี้ไว้เงียบ ๆ จนกระทั่งหนังสือ The Chariots of the God ของ อีริค ฟอนดานิเก้น ตีพิมพ์ออกมานั่นแหละ Blumrich ถึงได้ทราบว่าตัวเองไม่ได้บ้า มีคนที่มีความคิดเหมือนเขาอยู่เช่นกัน ดังนั้น Josef Blumrich จึงเริ่มตีความศึกษาสิ่งที่เขาสงสัยอย่างจริงจัง โดยเฉพาะบทของ Ezekiel ซึ่งก็ได้ภาพที่สร้างจากคำพรรณาออกมาอย่างที่ท่านเห็นนี่แหละ






ไงล่ะครับ … น่าทึ่งไหม?

ถ้าภาพที่ท่านเห็นคือความเพ้อเจ้อ มันก็คือความเพ้อเจ้อของ Josef Blumrich วิศวกรการบินผู้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในโครงการใหญ่ ๆ ของ NASA เช่น Skylab, Saturn และ Apollo นั่นแหละครับ อากาศยานที่ถูกวาดออกมาตามคำบรรยายของเอเซเกลนั้น เชื่อไหมครับว่า ลักษระของมันดันไปคลับคล้ายเหลือเกินกับยานในดีไซน์ของ NASA ซึ่งถูกออกแบบสำหรับบินสำรวจในความสูงระดับไม่เกินชั้นบรรยากาศ และจาก Detail อื่น ๆ ของมัน เจ้ายานลำนี้สามารถขึ้น - ลงได้แทบทุกที่โดยไม่เกี่ยงสภาพภูมิประเทศด้วยซ้ำ






แค่จินตนาการ ? (อย่าบ้าให้มันมากนัก)

อยากซ้ำคำนี้อีกจังว่ามันเป็นเพียงจินตนาการเท่านั้นหรือ ? ตำนานของคนโบราณเป็นจินตนาการเพียงถ่ายเดียวจริงหรือไม่ รุ่งอรุณแห่งวงการตราศาสตร์ยุคใหม่ เราพบว่าคนโบราณรู้เรื่องของดวงดาวพอ ๆ หรืออาจจะดีกว่าพวกเราโดยที่ไม่อาศัยแม้แต่กล้องดูดาว ในยุคอุตสาหกรรมการบิน เราประจักษ์อย่างอัศจรรย์ใจกับอากาศยานของคนโบราณที่ทำเอานักวิชาการหลายคน กุมขมัม และ ณ ปัจจุบัน ยุคทองของเทคโนโลยีชีวภาพ รอยต่อที่หายไปในทางมานุษยวิทยาที่เราถกเถียงกันมาแสนนานเริ่มจะถูกคลี่คลาย เพราะเรามองเห็นความสามารถอันน่าทึ่งของ Bio technology ยุคโบราณทีละน้อยละน้อยแล้ว น่าลุ้นดีไหมล่ะครับ ว่าอนาคตต่อไปพวกเราจะพบอะไรจากเทคโนโลยีโบราณเหล่านี้อีกบ้าง


Ancient Astronaut ทฤษฎีที่ไม่ถูกยอมรับ




เอาละครับ มาถึงตอนนี้ คงมีคำถามเกิดขึ้นแล้วสินะว่า ถ้านักบินอวกาศยุคโบราณ - พระเจ้าจากอวกาศ ตามแต่เราจะเรียกกันนั้น ถ้ามันมีอยู่จริงดังว่าแล้วล่ะก็ ไฉนวงวิชาการปัจจุบันจึงไม่ยอมรับแนวคิดนี้ ทำไมไม่มีใครทุ่มเทกับมันอย่างจริงจังมากกว่าเท่าที่เห็นอยู่ ณ ปัจจุบันทั้งที่หลักฐานทั้งหลายแหล่ที่มี มันมากเพียงพอที่จะพูดกับตามภาษาชาวบ้านได้ว่า "หลักฐานมีให้เห็นกันจะจะ"

นายโซนิคอยากจะบอกนิดน่ะนะครับ ว่าความนี้อาจมีสาเหตุหลักอยู่เพียงประการเดียวนั่นคือคำว่า "ทัศนคติ"

มันทำไมหรือครับ??

เอาง่าย ๆ ครับ การศึกษาเรื่องใดเรื่องนึง คุณต้องอาศัยการค้นคว้า , วิจัยกว่าจะมีข้อสรุปออกมาได้ ซึ่งแน่ละว่าข้อสรุปนั้น ๆ ต้องเจืออคติ (หมายถึงความโน้มเอียงครับ โน้มไปตามความคิดเห็นของคนเขียน) อยู่ไม่มากก็น้อย หลายคนไม่ชอบคำว่า "อคติ" เนื่องจากความหมายของคำมันติดลบมากเกินไป พวกเขาชอบใช้คำว่า ทัศนคติ มากกว่าเอาเถอะครับ จะใช้คำไหนก็ไม่เป็นไร เพราะมันคือบ่อเกิดของปัญหาเดียวกันที่พบเจอแทบทุกวงการ ไม่ใช่แค่ Ancient Astonaut






ดังที่กล่าวไปแล้วว่า ถ้าคุณสงสัย ศึกษาอะไรซักสาขานึง คุณต้องอิงผลงานการศึกษาจาก expert -ผู้เชี่ยวชาญ ในสาขานั้น ๆ ถูกไหมครับ อันว่าผู้เชี่ยวชาญดังกล่าวก็มักจะเป็นนักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ในแขนงวิชานั้น ๆ และส่วนใหญ่ที่เจอ(อีกแล้ว) คือคำพูดของนักวิชาการหย่ายมักจะกลายเป็นข้อสรุปไม่ได้ พอนักวิชาการหย่ายฟันธงลงไปเท่านั้นแหละ จบครับ … ไม่มีใครสงกากันอีกต่อไป ทั้งที่บางครั้ง นักวิชาการท่านั้นอาศัยแค่ทัศนคติกับสมมติฐานเท่านั้น ไม่ได้ไปศึกษาหรือวิจัยอะไรเลย ตรงนี้แหละที่เป็นปัญหา อย่าลืมว่านักวิชาการเค้า expert ในแขนงวิชาที่ร่ำเรียนมาเท่านั้น รู้ลึกซึ้งแต่รู้แคบว่างั้นเหอะ (หรือใครจะเถียงครับ ยิ่งเรียนสูงเท่าไหร่ เรายิ่งเจาะลึกเฉพาะด้านลงไปเรื่องเดียวเท่านั้น) นักวิชาการส่วนมากมีจิตใจที่เปิดกว้าง สนใจใครศึกษา เสียอย่างที่โอกาศ contact กับนักวิชาการในสาขาอื่นนอกเหนือจากของตนนั้นมีน้อย นักดาราศาสตร์ , พันธุศาสตร์ กับนักมานุษยวิทยา และโบราณคดีในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น แทบไม่มีโอกาสศึกษางานวิจัยของกันและกันเลย ผู้สนใจศาสตร์หลาย ๆ แขนงแม้จะเชี่ยวชาญจนช่ำชองแต่ไม่มีดีกรีมาการันตี เพราะงั้น ทฤษฎีบางอย่างเช่น Ancient Astronaut จึงมักได้รับคำถากถางจาก "expertist" ทั้งหลายเป็นประจำว่ามันคือความฟุ้งซ่านของเหล่ามือสมัครเล่น น่าช้ำอยู่ไหมล่ะ

ศาสตร์บางสาขาที่เก่าแก่มากๆ เช่น วิทยาศาสตร์ , ชีววิทยา , เคมี , มานุษยวิทยา , ประวัติศาสตร์ , โบราณคดี ได้รับการถ่ายทอดสั่งสมมานับร้อย ๆ ปี นับจากยุคกรีกและโรมัน จนกระทั่งเริ่มมันคงอยู่ใน ในยุคสมัยยุโรปรุ่งเรือง แม้ว่าหลายทฤษฎีถูกค้นคิดใหม่ ถูกยอมรับ ถูกหักล้าง ตามธรรมชาติของการศึกษาค้นคว้า แต่สิ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้คือมันตกผลึกจนกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า กระบวนทัศน์ (paradigm) แนวการคิด วิถีของการคิด อะไรประมาณนั้น อธิบายง่าย ๆ ด้วยคำแทนว่าทัศนคติ ซึ่งนายโซนิคเองก็ไม่รู้หรอกนะครับ ว่าใช้คำถูกต้องไหม เอาเป็นว่าถูกผิดอย่างไรทักท้วงด้วยละกัน

ทัศนคติ - ความเชื่อเหล่านี้ ถูกตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นจนยากจะกลับกลายได้ สิ่งเหล่านี้เองครับที่กลายเป็นความปิดกั้นทางวิชาการ เนื่องจากค้นกับสิ่งที่เชื่อถือและร่ำเรียนมา ตัวอย่างเช่น แนวคิดเกี่ยวกับชีวิตซึ่งเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ แหละทุกสรรพสิ่งล้วนวิวัฒน์จากจุดกำเนิดนั้น , โลกเป็นดาวที่มีความพิเศษเฉพาะรวมกับพระเจ้าเนรมิต สภาวะแวดล้อมเอื้ออำนวยให้เกิดสิ่งมีชีวิตอย่างที่น่าได้ยากในดาวดวงอื่น และนอกจากโลกแล้วเป็นไปไม่ได้ที่สิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาใดจะวิวัฒน์ขึ้น เป็นต้น


เมื่อนักวิชาการหย่ายผู้ปรากฎตัวต่อหน้าสื่อฟันธงลงไป เราได้แต่ยอมรับอาจเพราะท่านเหล่านั้นคือผู้เชี่ยวชาญที่สังคมยอมรับ อาจเป็นเพราะบังเอิญท่านเหล่านั้นเป็นอาจารย์ผู้เคยสอนเราสมัยเรียน มหาวิทยาลัย อาจเป็นเพราะ... ฯลฯ นั่นก็โทษว่ากันไม่ได้ครับ นอกเสียจากโทษกระบวนทัศน์ในการคิด ซึ่งสั่งสมตกผลึกจนกลายเป็นการปิดกั้นไป กลายเป็นเรื่องของการปฏิเสธที่จะเชื่อทั้งที่ยังพิจารณาไม่ถ่วงแท้ด้วยซ้ำ

แหม... นึกถึงคำสอนของพระพุทธองค์ขึ้นมาตะหงิด ๆ เชียวครับ อย่าเชื่อในสิ่งที่เห็น อย่าเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน อย่าเชื่อเพราะเป็นคำสอนของครูอาจารย์ ท่านทั้งหลายก็เช่นกัน เรื่องที่อ่าน ๆ กันอยู่เนี่ยก็คิดก็ขบไปด้วยนะคร๊าบ ไม่งั้นถูกนายโซนิคอำเอาได้ง่าย ๆ นา...

ฟู่... เผลอแป๊บเดียวนอกเรื่องซะหลายหน้า ถือเป็นคำบ่น อันอัดอั้นละกันนะครับอย่างน้อยนี่ก็เป็นแง่หนึ่งสำหรับคำถามที่ว่า ทำไมทฤษฎี Ancient Astronaut ถึงไม่เป็นที่ยอมรับนักในปัจจุบัน

บทต่อไปเดี๋ยวผมจะพาทัวร์อารยธรรมโบราณสักหน่อยดีไหมครับ มาดูกันว่า ภายใต้ความรุ่งเรืองเหล่านั้น มีอะไรที่เป็นธรรมชาติและผิดธรรมชาติเกิดขึ้นบ้าง แล้วมันผิดธรรมชาติกันอีท่าไหน เหล่าบุตรชายคุณนายช่างสงสัยทั้งหลาย ถึงได้ฟอร์มความคิดออกมาเป็นทฤษฎีนักบินอวกาศยุคโบราณไปเสียได้ ตามผมมาเลยครับ ^.^