The 12th Planet - ตอนที่ 4
Chapter Six: The 12th Planet
ปัจจุบันแนวคิดที่ว่ามีสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากโพ้นพิภพเคยมาเยี่ยมเยือนโลกราหูของเราเมื่อนานมาแล้วนั้นค่อนข้างเป็นที่ยอมรับกัน ถึงจะไม่เต็มร้อยนักแต่หลายฝ่ายก็เริ่มตั้งใจที่ฟัง ไม่เหมือนเมื่อก่อนครับ ขืนใครพูดเรื่องนี้ออกไปเป็นถูกมองว่าไม่บ้าก็เมาแหง(ผมโดนบ่อย) ต่างจากทุกวันนี้อยู่ค่อนข้างมาก ประการสำคัญก็คือ แนวคิดนี้ถูกขยายออกไปว่าเมื่อครั้งกระโน้นนั้น มนุษย์ต่างดาวจากโพ้นพิภพหาได้มาเยี่ยมเยือนโลกของเราแต่ประการเดียวไม่ หากแต่ยังช่วยกันรังสรรค์อารยธรรม สถาปนาบ้านเมือง เข้าแทรกแซงวิวัฒนาการตามธรรมชาติของมนุษย์ แถมยังเล่นบทพระเจ้าในศาสนาของคนโบราณอีกหลายๆศาสนาด้วย
ทั้งหมดทั้งเพมันมาจากความสงสัยอันไร้ที่สิ้นสุดของมนุษย์เรานี่ล่ะครับ สงสัยไปแม้กระทั่งว่าถ้าพระเจ้ามีจริงพระเจ้าคือใคร? ถ้าสวรรค์มีจริงสวรรค์ควรจะอยู่ที่ไหน?
...ชาวสุเมเรียนมิได้มีความสงสัยในการดำรงอยู่ของสวรรค์เลยครับ พวกเขามีความเชื่อว่าสวรรค์ของเทพเจ้านั้นมีจริง ตำนานของการเยือนสวรรค์ก็มีบันทึกไว้อย่างที่ผมเล่าให้ฟังเมื่อตอนก่อนๆนั่นแหละครับ ข้อสำคัญก็คือ พวกเขาเชื่อมั่นอย่างเหลือเกินว่าบนสวรรค์(หรือโพ้นฟ้าขึ้นไป)นั้นมีอาณาจักรอันศักดิ์สิทธิ์อยู่ อาณาจักรอันเป็นที่อยู่อาศัยของเทพเจ้าโบราณเช่น Enki, Enlil และ Ninhursag เป็นต้น พวกเขาเรียกอาณาจักรดังกล่าวว่า Heavenly Abode บ้าง Pure Place บ้าง หรือ Primeval Abode ซึ่งอันหลังแปลว่าที่พำนักเมื่อครั้งบรรพกาล(ของเทพเจ้า)บ้าง อาณาจักรเหล่านี้แหละครับที่เทพเจ้าของพวกเขาเคยพำนักอาศัยก่อนจะเสด็จมาเยือนโลกเพื่อปกครองพวกเขาชาวสุเมเรียน
ลงไปๆมาๆกันได้บ่อยๆแบบนี้อาณาจักรแห่งสวรรค์ของเทพเจ้าโบราณของชาวสุเมเรียนก็ไม่น่าจะอยู่ไกลนัก และในความเป็นจริงคนโบราณพวกนี้ก็ระบุเอาไว้ว่าเทพเจ้าของพวกเขาไม่ได้อยู่ห่างไกลประเภทคนละขั้วแกแล็กซี่เลย (ไม่เหมือนชาวอินคาที่ระบุว่าเทพของพวกเขามาจากกลุ่มดาวเพลเดียส) เทพของพวกเขามาจากดาวเคราะห์ดวงหนึ่งซึ่งอยู่ในระบบสุริยะของพวกเรานี่แหละ
นักโบราณคดีพบว่าชาวอัสสิเรียนมีความคุ้นเคยกับสัญลักษณ์ของดวงดาวบนท้องฟ้าอยู่ไม่ใช่น้อย สัญลักษณ์เหล่านี้ปรากฏอยู่ตามบันทึก งานเขียน ตลอดจนผนึกทางศาสนาที่กระจัดกระจายอยู่แทบจะทั่วอาณาจักร โดยเฉพาะภาพที่ชื่อว่า The Gateway of Anu นั้นแสดงให้เราเห็นอย่างชัดเจนว่า คนโบราณพวกนี้รู้จักดวงอาทิตย์และดาวเคราะห์บริวารทั้งหลายเป็นอย่างดี
ด้วยความเจริญอย่างเหลือเชื่อทางวัฒนธรรมของชนชาตินี้ นักโบราณคดีไม่แปลกใจอะไรเลยที่พวกเขาชาวสุเมเรียน จะมีความเจริญทางสาขาวิชาดาราศาสตร์ชนิดที่เรียกว่ารู้จักระบบสุริยะของเราจนเขียนแผนผังได้ เพียงแต่รู้สึกตะหงิดใจอยู่นิดๆเท่านั้นเองว่า ดาวเคราะห์ที่อยู่เลยดาวเสาร์ออกไปเช่น ดาวยูเรนัส เนปจูน และพลูโตนั้น ชาวสุเมเรียนรู้จักพวกมันได้อย่างไรทั้งที่มนุษย์สมัยใหม่อย่างเราๆเพิ่งจะส่องกล้องค้นพบกันเมื่อไม่กี่ร้อยปีมานี้เอง
ที่สำคัญที่สุดคือรูปอันเป็นสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขานั้น มีรูปสำคัญอยู่รูปหนึ่ง(ปัจจุบันถูกเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ในกรุงเบอร์ลิน) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงสัญลักษณ์ของดวงอาทิตย์กำลังถูกโคจรรอบโดยดาวเคราะห์บริวารจำนวน 11 ดวง!
น่าแปลกนะครับ ปัจจุบันเราทราบกันดีอยู่ว่าระบบสุริยะของเราประกอบด้วยดวงอาทิตย์เป็นแกนกลาง มีดาวเคราะห์อันเป็นดาวบริวารโคจรล้อมรอบอยู่ 9 ดวงอันได้แก่ ดาวพุทธ ดาวศุกร์ โลก ดาวอังคาร ดาวพฤหัส ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส ดาวเนปจูน แล้วก็ดาวพลูโต (ส่วนดาวเคราะห์ดวงที่ 10 หรือเซดนานั้น ปัจจุบันยังเป็นที่ถกเถียงหาข้อสรุปไม่ได้ว่า เจ้าดาวจิ๋วดวงนี้ควรจัดอยู่ในสารบบดาวเคราะห์หรือไม่ นักดาราศาสตร์บางคนให้ความเห็นว่าเซดนานั้นเป็นดวงจันทร์บริวารของดาวเคราะห์ยักษ์อีกดวงซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปด้วยซ้ำ ลองอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจากที่นี่ดูนะครับ)
ชาวสุเมเรียนเอาดาวเคราะห์มาจากไหนครับตั้ง 11 ดวง?
ความเชื่อของชาวสุเมเรียนโบราณนั้นมีอยู่ว่า สวรรค์ประกอบไปด้วยดาวทั้งหมด 12 ดวง คือดวงอาทิตย์และดาวบริวารอีก 11 ดวง (พวกเขานับดวงจันทร์บริวารของโลกให้เป็น Planet หรือดาวเคราะห์ด้วย นิยามดาวเคราะห์ของชาวสุเมเรียนอาจจะต่างไปจากสาขาวิชาดาราศาสตร์ในปัจจุบันก็ได้นะครับ) เอ้า อย่าเพิ่งไปยึดติดกับความขัดแย้งของข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์ที่พวกเราเรียนกันมาเลยครับ อย่างน้อยชนชาติโบราณนี้ก็ได้พิสูจน์ว่ามีอะไรดีๆไม่น้อยหน้ามนุษย์ในยุคปัจจุบันเลยสักนิด ดังนั้นข้อเท็จจริงที่ว่าถัดจากดาวพลูโตออกไปยังมีดาวเคราะห์ขนาดใหญ่โคจรอยู่จึงไม่ควรเป็นเรื่องที่พวกเรามองข้าม ที่สำคัญดาวเคราะห์ดวงนั้นเป็นดาวเคราะห์ที่ชาวสุเมเรียนระบุว่าเป็นที่พำนักของเหล่า Anunnaki เทพเจ้าผู้ลงมาจากฟากฟ้าเบื้องบนเสียด้วย แหม... อยู่ในระบบสุริยะเหมือนกันนี่เอง มิน่าล่ะจึงเดินทางไปๆมาๆระหว่างโลกและดาวดวงนั้นได้เป็นว่าเล่น หากนับจากดวงอาทิตย์ออกไปดาวเคราะห์ดวงนั้นจะอยู่ในอันดับที่ 12 ของดาวเคราะห์ทั้งหมด
ดังนั้นชื่อชั่วคราวที่เราจะเรียกดาวเคราะห์ดวงนั้นก็น่าจะเป็น The Twelfth Planet -- ดาวเคราะห์ดวงที่สิบสอง ถูกต้องไหมครับ?
ความแม่นยำทางดาราศาสตร์ของชาวสุเมเรียน
บอกกล่าวกันก่อน: ดาวยูเรนัสถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1781 เนปจูนในปี 1846 และพลูโตในปี 1930 ตามลำดับ
ตั้งแต่กรีกยุคโบราณจนกระทั่งถึง ค.ศ. 1870 ผู้คนล้วนมีความเชื่อว่าบนท้องฟ้ามีดาวเคราะห์อยู่ 6 ดวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ หรืออีกนัยหนึ่งระบบสุริยะของเราประกอบด้วยสมาชิก 7 ดวงอันได้แก่ ดวงอาทิตย์, ดวงจันทร์, ดาวพุทธ, ดาวศุกร์, ดาวอังคาร, ดาวพฤหัส, และดาวเสาร์
โลกไม่ถูกนับรวมอยู่ด้วยเพราะคนโบราณ(ชาวยุโรป)เค้าเชื่อกันว่าโลกคือศูนย์กลางของจักรวาล มีท้องฟ้าล้อมรอบโลกของเราเอาไว้ในลักษณะวงกลม โลกที่เราอยู่อาศัยนั้นถือเป็นส่วนสำคัญที่สุดในจักรวาลที่ถูกสร้างโดยพระผู้เป็นเจ้า เป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตที่พระเจ้าทรงรักที่สุดคือมนุษย์นั่นเอง
ตำราเรียนทางดาราศาสตร์พื้นฐานบอกกับเราว่านิโคลัส คอเปอร์นิคัส (Nicolaus Copernicus) เป็นผู้ค้นพบว่าแท้ที่จริงโลกของเราเป็นเพียงสมาชิกดวงหนึ่งของดาวเคราะห์ในระบที่เรียกว่า Heliocentric System หรือระบบที่มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง ทฤษฎีของคอเปอร์นิคัสยังความโกรธเกรี้ยวให้แก่ศาสนจักรผู้เชื่อว่าโลกคือศูนย์กลางของจักรวาลเป็นอย่างมาก นิโคลัส คอเปอร์นิคัสมีโอกาสพิมพ์และเผยแพร่ทฤษฎีของเขาในปี 1543 อันเป็นเวลาที่เขานอนรอความตายอยู่บนเตียงนอน
ความรู้และเทคโนโลยีหลายอย่างที่เรารู้จัก ล้วนเป็นสิ่งที่ถูกค้นพบอีกครั้งเท่านั้น เป็นต้นว่ากรรมวิธีผลิตไฟฟ้าจากแบตเตอร์รี่ที่เราเพิ่งรู้จักกันมาไม่กี่ร้อยปีนี้ เมื่อสามพันกว่าปีก่อนชาวแบกแดดเขามีไว้ใช้ชุบเครื่องทองกันแทบทั้งนั้น แนวคิดเรื่องระบบที่มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางก็เช่นเดียวกันครับ นักวิชาการต่างประหลาดใจไปตามๆกันเพราะหลักฐานที่มีบอกกับพวกเขาว่า แนวคิดนี้เคยถูกเผยแพร่โดยนักดาราศาสตร์โบราณมาแล้วเมื่อประมาณ 500 ปีก่อนคริสตกาล, ค.ศ. 500 และศตวรรษที่ 15 ตามลำดับ
แผนที่จักรวาลตามแบบฉบับของคอปเปอร์นิคัส
ยิ่งไปกว่านั้นนักวิชาการรู้สึกประหลาดใจจนยากจะอธิบายว่า เหตุใดชาวกรีกในยุคหลัง(รวมทั้งชาวโรมันในเวลาต่อมา)จึงหันมาคล้อยตามแนวคิดเรื่องโลกแบน คุ้นกันอยู่ใช่ไหมครับกับคนโบราณที่เชื่อว่าโลกของเราแบนเหมือนแผ่นกระดานลอยอยู่เหนือแผ่นน้ำอันดำมืด ใต้โลกลงไปเป็นพิภพของความมืดมิดที่เรียกกันว่า The World of Hades ซึ่งแนวคิดนี้นับว่าถอยหลังลงคลองชัดๆเมื่อเทียบกับข้อเท็จจริงที่ว่า บรรพบุรุษของพวกเขาค้นพบกันมานานนมว่าโลกของเรามีสันฐานกลมแป้นไม่ได้แบนราบ
ฮิปปาร์คัสนักเขียนโบราณเคยเขียนเผยแพร่ผลงานของเขาที่อยู่บนพื้นฐานของการศึกษาเอกสารโบราณ เขากล่าวว่าความรู้ที่เขานำมาประมวลในงานเขียนของเขานั้นถูกสั่งสมถ่ายทอดมาจากบรรพชนเป็นเวลานับพันๆปี เจ้าของผลงานเดิมเหล่านั้นฮิปปาร์คัสกล่าวถึงในลักษณะของผู้มีเครดิตในงานของเขา ซึ่งแต่ละคนล้วนอยู่ในดินแดนเมโสโปเตเมียทั้งสิ้น เป็นต้นว่า นักดาราศาสตร์ชาวบาบิโลเนียนแห่งอีเร็ค, บอร์ซิปปา และบาบิโลน
เจอร์มินัสแห่งเกาะโรดส์กล่าวถึงชาวคาลเดียนอันเป็นบรรพชนของชาวบาบิโลเนียนว่า ค้นเหล่านี้ค้นพบและคำนวณวงโคจรของดวงจันทร์ได้ ส่วนนักประวัติศาสตร์ชาวกรีกชื่อไดโอโดรัส ซิคูลัส เขียนเอาไว้ในเอกสารเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนคริสตกาลว่าชาวกรีกในสมัยนั้นได้วิชาดาราศาสตร์มาจากเมโสโปเตเมีย เขากล่าวว่าคนเล่านั้นจัดลำดับและตั้งชื่อแก่ดาวเคราะห์บนท้องฟ้า กึ่งกลางของจักรวาลคือดวงอาทิตย์อันเปล่งรัศมีเจิดจ้า ดาวเคราะห์ที่ส่องแสงนวลบนท้องฟ้าล้วนเป็นลูกหลานที่อาศัยแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์ทั้งสิ้น
มหัศจรรย์เหลือที่จะกล่าวจริงๆครับ คนโบราณรู้ข้อเท็จจริงว่าดาวเคราะห์ไม่มีแสงสว่างในตนเองและต้องอาศัยแสงสะท้อนจากดาวฤกษ์ได้อย่างไร ในเมื่อนักวิชาการสมัยใหม่ของพวกเราเพิ่งจะค้นพบข้อเท็จจริงเมื่อไม่กี่ร้อยปีมานี้ ห่างจากยุคสมัยของพวกเขาตั้งหลายพันปี
Zodiac กับราศีทั้ง 12 อันเป็นสัญลักษณ์ของโกลด์เซ็นต์ เอ๊ย... กลุ่มดาวทั้ง 12 ตามความเชื่อของชาวกรีก (ซึ่งได้รับการถ่ายทอดจากชาวคาลเดียนอีกต่อหนึ่ง)
พวกเราทุกคนรู้กันดีว่าพื้นทางวิชาดาราศาตร์ในปัจจุบันนั้นมาจากชาวกรีกโบราณ(ฟังแค่ชื่อดาวก็พอจะรู้ใช่ไหมครับ) แต่ทราบกันไหมว่าแหล่งความรู้ในสาขาวิชาดาราศาสตร์ของชาวกรีกนั้นมาจากชาวคาลเดีย ซึ่งชาวคาลเดียเองก็สะสมความรู้ดังกล่าวมาจากคนรุ่นก่อนอีกทีหนึ่ง จากยุคสู่ยุค จากรุ่นสู่รุ่นย้อนหลังเวลาขึ้นไปนับไปเป็นพันๆปี สำหรับชาวกรีกโบราณแล้วคาลเดียมีความหมายเดียวกับคำว่า Stargazer และ Astronomers ครับ
ตำราประวัติศาสตร์บอกกับเราว่า ดาราศาสตร์พัฒนามาจากวิชาดูดาวและโหราศาสตร์ที่ใช้วิถีโคจรของดาวมาทำนายทายทักดวงชะตา จากนั้นด้วยกึ๋นอันแสนอัจฉริยะของนักวิชาการในยุโรป วิชาโหราศาสตร์จึงค่อยๆพัฒนามาเป็นดาราศาสตร์ยุคใหม่อย่างในปัจจุบัน ซึ่งตามข้อเท็จจริงแล้วมันผิด!
ในไบเบิลฉบับพันธสัญญาเก่าเองก็กล่าวถึงข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์มากมาย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นความรู้ที่สั่งสมมาจากตะวันออกกลางแทบทั้งสิ้น เช่นเรื่องของจักรราศี กลุ่มดาว รวมถึงทางช้างเผือกเป็นต้น
จะด้วยอะไรก็ตามแต่ ดาราศาสตร์ที่ว่าด้วยการศึกษาปรากฏการณ์บนท้องฟ้าของคนโบราณกลับกลายมาเป็นวิชาโหราศาสตร์ทีละน้อยละน้อย คนโบราณเชื่อเรื่องของอิทธิพลของดวงดาวต่อชะตามนุษย์ก็จริงครับ แต่เชื่อในลักษณะของผลกระทบโดยรวมต่อสังคมหรือบุคคลสำคัญของสังคมเช่นกษัตริย์เท่านั้น วิถีโคจรหรือปรากฏการณ์บนท้องฟ้าบางอย่างอาจส่งผลต่อปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว โรคระบาด หรือความเข้มแข็งของนครรัฐ ไม่ได้ส่งผลต่อบุคคลในลักษณะปัจเจกเช่นวิชาโหราศาสตร์ในยุคหลังเลย
ระบบที่มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางที่เราใช้กันในทุกวันนี้ เราอาศัยการขึ้นและตกของดวงดาวที่มองเห็นจากท้องฟ้าของโลก(โดยสัมพันธ์กับดวงอาทิตย์)เป็นมาตรวัด ทำนองเดียวกับที่ชาวเมโสโปเตเมียโบราณอย่างชาวคาลเดียนใช้สิ่งที่เรียกว่า Ephemerides เมื่อครั้งกระโน้น ชาวเมโสโปเตเมียเหล่านี้กล่าวว่า ความรู้ทุกอย่างในแขนงของดาราศาสตร์และโหราศาสตร์ของพวกเขาได้รับการถ่ายทอดจากบรรพชน คุณคงไม่ถามผมหรอกนะครับว่าบรรพชนอันเป็นรากเหง้าของความรู้เหล่านี้เป็นใครกันแน่
A Radiant Celestial Body....
พูดถึงปฏิทินทางดาราศาสตร์แล้ว ชนชาติที่มีชื่อเสียงด้านนี้เห็นจะหนีไม่พ้นชาวบาบิโลเนียนกับอัสสิเรียน ทว่าทั้งสองชาตินี้กลับไม่ได้เป็นผู้ค้นคิดวิธีการคำนวณตลอดจนกำหนดคุณสมบัติสำคัญของปฏิทินทางดาราศาสตร์เลยครับ ปฏิทินของพวกเขาเป็นที่ทราบกันดีว่าไปเอาแบบมาจากต้นกำเนิดซึ่งเป็นคนโบราณในดินแดนซูเมอร์ นักโบราณคดีหลายคนลงความเห็นว่า รูปแบบของปฏิทินเหล่านั้นถูกดัดแปลงมาจากหลักการสร้างปฏิทินแห่งนิปเปอร์(Nippur) โดยเฉพาะสัญลักษณ์ที่ใช้ในปฏิทินนั้นเห็นได้ชัดเลยว่าเอามาจากหลักการแบ่งท้องฟ้าออกเป็น 3 ฟากของชาวสุเมเรียน คือ way of Enlil, Enki และ way of Anu
...ทราบไหมครับว่าปฏิทินที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ก็มีรากฐานมาจากปฏิทินแห่งนิปเปอร์นี่แหละ
พูดถึงความรู้ทางดาราศาสตร์ของสุเมเรียนโบราณกันสักนิด พวกเขามีศัพท์คำว่า DUB อันมีความหมายทางดาราศาสตร์ว่าเส้นรอบวง 360 องศาของโลก ซึ่งในสายตาของชาวสุเมเรียนมีความสัมพันธ์กับความโค้งของสวรรค์(ท้องฟ้า)ซึ่งครอบคลุมโลกอยู่อย่างแน่นแฟ้น เพื่อความสะดวกในการคำนวณทางดาราศาสตร์และคณิตศาสตร์ พวกเขาลากเส้นสมมติที่เรียกว่า AN.UR เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการวัดปรากฏการณ์บนท้องฟ้า เส้นดังกล่าวนี้เป็นเส้นแบ่งในแนวนอนครับส่วนแนวตั้งนั้นพวกเขามีเส้นที่ชื่อว่า NU.BU SAR.DAR อันมีจุดสำคัญที่สุดที่เรียกว่า AN.PA หรือ Middle lines of heaven
...ไม่ต้องบอกก็รู้ใช่ไหมครับว่าเจ้าเส้นชื่อประหลาดๆเหล่านี้ได้รับการสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน และพวกเรารู้จักกันในนามของเส้นละติจูดและเมอร์เดียน
นอกจากนี้พวกเขายังมีศัพท์เฉพาะที่ใช้สำหรับทำปฏิทินทางดาราศาสตร์อย่างละเอียดละออ ตัวอย่างเช่นพวกเขามีเส้นที่แสดงช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์อยู่ห่างจากโลกที่สุดที่ชื่อ AN.BIL เป็นต้น ซึ่งหลักการ(รวมทั้งศัพท์)เหล่านี้มีให้เห็นเกลื่อนไปหมดในเอกสารโบราณของชนรุ่นหลังๆ เช่น อัคเคเดียน เฮอร์เรียน ฮิตไทต์ และชนชาติอื่นๆในแถบนั้น
น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารบางอย่าง หลักฐานบางชิ้น ที่เรามีอยู่ในปัจจุบันไม่ใช่ฉบับที่เป็นออริจินอลของชาวสุเมเรียนโดยตรง แต่เป็นของชนชาติรุ่นหลัง(ที่ผมได้เอ่ยนามมาแล้ว)ซึ่งก็ไปเอามาจากต้นฉบับของชาวสุเมเรียนอีกต่อหนึ่ง เรื่องของการตกทอดเอกสารนี่ปัญหาใหญ่ของมันคือความคลาดเคลื่อนครับ โดยเฉพาะหากต้องมีการแปลจากภาษาต้นฉบับไปสู่อีกภาษาหนึ่ง คำ ความ และบริบทที่ถูกแปลไปมีสิทธิเพี้ยนเอาได้ง่ายๆ ซึ่งตรงนี้จะก่อให้เกิดปัญหากับผู้ศึกษาตีความเอามากๆ
อย่างไรก็ตามแต่ เอกสารโบราณจำนวนกว่า 25,000 ชิ้น ที่ถูกค้นพบในตะวันออกกลางส่วนใหญ่กล่าวถึงหลักดาราศาสตร์ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ หลักการบางอย่างสอดคล้องต้องตรงกับวิชาดาราศาสตร์ของเราในปัจจุบัน แต่หลักการบางอย่างก็ไม่ตรง อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าเกิดจากความผิดพลาดของคนโบราณหรือว่าเป็นเพราะศาสตร์ของมนุษย์ในศตวรรษที่ 21 ยังไปไม่ถึงกันแน่
หลักฐานชิ้นหนึ่งที่น่าสนใจเป็นเอกสารโบราณของชาวบาบิโลเนียนชื่อ The Day Of Lord ซึ่งถูกจัดทำในสมัยของพระเจ้าซาร์กอนแห่งอัคเคดเมื่อประมาณ 3 พันปีก่อนคริสตกาล ส่วนอีกชิ้นมาจากสมัยราชวงศ์ที่ 3 แห่งนครรัฐเออร์(Ur) เป็นเอกสารที่รวบรวมรายชื่อของกลุ่มดาวบนท้องฟ้าเอาไว้ เจ้าเอกสารสำคัญชิ้นนี้แหละครับที่ทำเอานักโบราณคดีปวดหัวเกือบตายกว่าจะแกะออกมาได้ว่า มันเป็นงานเขียนที่ว่าด้วยรายชื่อของกลุ่มดาวบนท้องฟ้า
แนวแบ่งแห่งฟากฟ้า
หลังจากศึกษาวิจัยร่วมกันมาอย่างยาวนาน สมาคมนักดาราศาสตร์โลกได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันในการแบ่งจุดสังเกตปรากฏการณ์บนท้องฟ้า(เมื่อมองจากโลก)ในปี 1925 ออกเป็น 3 โซนใหญ่ๆได้แก่ ท้องฟ้าทางทิศเหนือ ส่วนกลาง และทิศใต้ นอกจากนี้พวกเขายังได้แบ่งกลุ่มดาวออกเป็น 88 กลุ่มตามเซ็นต์ของอาธีนาทั้ง 88 คน เอ๊ย... เพื่อให้ง่ายต่อการสังเกตและจดจำ
มันเป็นเรื่องใหม่สำหรับพวกเราแต่ไม่ใหม่เลยสำหรับชาวสุเมเรียนเมื่อค่อนหมื่นกว่าปีก่อน พวกเขาแบ่งสวรรค์(ท้องฟ้า)ออกเป็น 3 เส้นหรือ 3 วิถี(ways)
วิถีด้านเหนือถูกตั้งชื่อตามเทพ Enlil, ด้านใต้เป็นของ Enki ส่วนวิถีที่อยู่ตรงกลางถูกตั้งตามชื่อของบิดรเทพ Anu นอกจากนั้นชาวสุเมเรียนยังรู้จักที่จะแบ่งดาวบนท้องฟ้าออกเป็นกลุ่มดาว ซึ่งใน The Way of Anu นั้นชาวสุเมเรียนเขาแบ่งกลุ่มดาวออกเป็น Zodiac หรือจักรราศีทั้งหมด 12 ราศีแบบเดียวกับที่พวกเราแบ่งในปัจจุบันเด๊ะ
หลักการก็คือ พวกเขาแบ่งวงโคจรรอบดวงอาทิตย์(ของโลก)ออกเป็น 12 ส่วนเท่าๆกัน แต่ละส่วนมี 30 ดีกรีจาก 360 องศาของวงโคจร ดวงดาวที่ปรากฏแก่สายตาในแต่ละส่วนแบ่งนั้นจะถูกนำมาจัดเป็นหมู่ดาว พร้อมตั้งชื่อให้กับหมู่ดาวเหล่านั้นตามรูปทรงที่คนโบราณอย่างพวกเขาจะมองเห็นเป็นอะไร
คำว่าจักรราศีนั้นเรามาจากคำว่า Zodiac อันมาจากคำภาษากรีกว่า ZodiakosKyklos หรือ Animal Circle รูปลักษณ์ของกลุ่มดาวจะถูกแทนที่ด้วยสัตว์เช่น สิงโต ปลา หรืออื่นๆที่พวกเราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ทราบกันไหมครับว่า Zodiac ของชาวกรีกนั้นเอามาจากพื้นฐานทางดาราศาสตร์ของชาวสุเมเรียนโบราณ พวกเขาเรียกมันว่า UL.HE หรือ The Shiny Herd ครับ และนี่คือรายชื่อของ Zodiac ในภาษาสุเมเรียนครับ
1. GU.AN.NA (Heavenly Bull) Taurus
2. MASH.TAB.BA (Twins) or Gemini
3. DUB (Pinchers or Tongs) the crab, or Cancer
4. UR.GULA (Lion) Leo
5. AB.SIN (Her father was Sin), the maiden, Virgo
6. ZI.BA.AN.NA (Heavenly fate), the scales of Libra
7. GIR.TAB (Which claws and cuts), Scorpio
8. PA.BIL (Defender), the Archer, Sagittarius
9. SURHUR.MASH (Goat fish), Capricorn
10. GU (Lord of Waters), the water bearer, Aquarius
11. SIM.MAH (Fishes), Pisces
12. KU.MAL (Field Dweller) the ram, Aries
ผ่านตากันไปแล้วนะครับกับจักรราศีของชาวสุเมเรียน คราวนี้ก็มาถึงหลักฐานชิ้นสำคัญอีกชิ้นหนึ่งซึ่งยืนยันกับเราได้เป็นอย่างดีว่า คนโบราณเหล่านี้รู้จักปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์พอๆกับที่พวกเรารู้จักกัน ชาวสุเมเรียนมีคำๆหนึ่งซึ่งใช้เรียกระบบสุริยะหรือ Solar System ของเราว่า MUL.MULผมคงไม่สอนจระเข้ให้ว่ายน้ำด้วยการไล่รายละเอียดของระบบสุริยะให้คุณๆฟังกันหรอกนะครับ ว่าระบบนี้ประกอบด้วยศูนย์กลางและดาวเคราะห์บริวารกี่ดวง ได้แก่ดาวอะไรบ้าง เพราะทุกๆคนคงทราบกันดีอยู่แล้ว
โครงสร้างระบบสุริยะของชาวสุเมเรียนก็ไม่ต่างกันเลยกับโครงสร้างที่พวกเรารู้จัก ยกเว้นจำนวนของดาวเคราะห์บริวารซึ่งรายชื่อที่คนโบราณเหล่านี้ระบุไว้นั้นมันมากกว่าที่วิทยาศาสตร์ปัจจุบันบอกเราเอาไว้ ชาร์ลส์ ไวโรลีออด นักภาษาศาสตร์ได้ทำการแปลเอกสารโบราณอันอธิบายถึง MUL.MUL หรือ KAKABU / KUKKABU เอาไว้อย่างละเอียด แต่ส่วนที่น่าสนใจอยู่ที่สามบรรทัดสุดท้ายอันมีใจความว่า
The number of its celestial bodies is 12.
The stations of its celestial bodies 12.
The complete months of the moon, is 12.
เอาล่ะสิครับ ชนชาติที่เจริญด้วยวิทยาการซึ่งพวกเราได้ซึมทราบกันดีอย่างชาวสุเมเรียนนี้ ได้ให้หลักฐานชิ้นสำคัญไว้กับอนุชนรุ่นหลังอย่างพวกเราเสียแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่า MUL.MUL อันหมายถึงระบบสุริยะในแนวคิดของพวกเขานั้นประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 12 ดวง (ดวงอาทิตย์, ดวงจันทร์ และดาวเคราะห์อื่นๆ) ในบทแรกๆผมได้กล่าวถึงความสำคัญของหมายเลขสิบสองในสายตาของคนโบราณไปแล้ว ดังนั้นผมไม่ย้ำรายละเอียดเรื่องเลข 12 อีกแล้วนะครับ นอกจากจะเพิ่มเติมให้ว่าชาวสุเมเรียนโบราณถือว่ามหาจักร (The Great circle of Gods) ของพวกเขาประกอบไปด้วยเทพ 12 องค์ เทพอายุเยาว์จะเข้ามาแทนที่ในลำดับมหาจักรนี้ได้ก็ต่อเมื่อเทพอาวุโสที่เคยอยู่มาก่อนได้สิ้นชีพไปแล้วเท่านั้น
ต่อเรื่องเลข 12 อีกหน่อยดีกว่า โดยเฉพาะความสัมพันธ์ของอารยธรรมมนุษย์กับเลขดังกล่าวนี้นั้นปัจจุบันยังตกทอดมาสู่พวกเรา เช่น ในปีหนึ่งเรามี 12 เดือน, ในหนึ่งวันเรามี 2 คาบ คาบละ 12 ชั่วโมงอันเป็นการแบ่งกลางวันและกลางคืน
ไม่ประหลาดใจกันหรือครับว่า เลขฐานที่พวกเราใช้กันอยู่ในปัจจุบันนั้นเป็นฐานสิบก็จริง แต่เมื่อไหร่ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือความเชื่อทางศาสนาแล้ว คนโบราณมักเลือกใช้เลข 12 เป็นหลัก เช่น การแบ่งส่วนสวรรค์ของชนชาติโบราณต่างๆมักลงตัวด้วยเลข 12, เทพโบราณของชาวกรีกก่อนหน้าราชวงศ์โอลิมปัสก็มีอยู่ 12 องค์, ชาวอิสราเอลโบราณ 12 เผ่า, ส่วนประกอบเกราะของ High Priest ของชาวอิสราเอลโบราณมีทั้งหมด 12 ชิ้นตามสัดส่วนแห่งสวรรค์, อัครสาวกทั้ง 12 ของพระเยซู ฯลฯ
ภาพแสดงระบบสุริยะของชาวสุเมเรียนนั้น นอกจากดาวเคราะห์ดวงที่พวกเรารู้จักกันยังมีดาวเคราะห์ลึกลับอยู่อีกดวงหนึ่ง ซึ่งแทนด้วยสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์อันหมายถึงการส่องสว่างอย่างเจิดจ้า เป็นที่พำนักของ The Anunnaki เทพเจ้าที่เสด็จลงมาจากห้วงฟ้าของพวกเขา และเป็นสัญลักษณ์แทนบิดรเทพ Anu เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ของชาวสุเมเรียนโบราณ
ก็ประหลาดดีเหมือนกัน(ในสายตาของคนปัจจุบัน) ที่คนโบราณที่มีอารยธรรมย้อนหลังไปนับหมื่นปีเหล่านี้จะรู้เรื่องของระบบสุริยะ รู้ว่ามีดาวเคราะห์อีกหลายดวงอยู่ถัดจากดาวเสาร์ออกไป ดาวเหล่านั้นมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ถึงพวกเราเองก็เถอะครับ เราเพิ่งค้นพบดาวเหล่านี้โดยพึ่งอุปกรณ์อันทันสมัยและวิชาการคำนวณยุคใหม่มาเมื่อไม่นานนี้เอง หากหั่นทฤษฎีพระเจ้าจากอวกาศทิ้งไป เราคงได้แต่งุนงงสงสัยเพราะหาคำอธิบายในความรู้อันนี้ของคนโบราณไม่ได้ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าทฤษฎีนี้เป็นเรื่องที่น่าคิดอยู่พอสมควร นักวิชาการผู้ข้าม field มาศึกษาในสาขาวิชาแขนงนี้ก็ไม่ได้คิดกันไปเองอย่างเลื่อนลอย พวกเขาอาศัยคำยืนยันจากเอกสารโบราณหรือหลักฐานที่หลงเหลืออยู่ทั้งนั้น
โดยเฉพาะชาวสุเมเรียนโบราณที่ระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่า The Anunnaki (Nefilim ตามไบเบิล) เทพเจ้าของพวกเขานั้นเดินทางมาจากดาวเคราะห์ยักษ์ใหญ่ซึ่งอยู่โพ้นดาวเสาร์ออกไป
ดาวดวงนั้นมีชื่อว่า Marduk หรือ Nibiru ครับ...