วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

The 12th Planet - ตอนที่ 3









The 12th Planet - ตอนที่ 3


ท่านที่เคยอ่านมหากาพย์กิลกาเมชคงทราบดีว่า การเดินทางเพื่อค้นหาความเป็นอมตะของวีรบุรุษชาวซูเมอร์ผู้นี้ลงเอยอย่างไร จะว่าไปกิลกาเมชแกก็ทึ่มอยู่พอสมควรที่ทำให้ความเพียรทั้งหลายแหล่มาเสียเปล่าในขากลับ ยานของกิลกาเมชกลับมาลงจอดที่ Tilmun โดยสวัสดิภาพ อ้อ... TIL.MUN เป็นภาษาสุเมเรียนครับ ความหมายของมันคือ The Land of Missiles


















หากไม่นับคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ความงดงามในภาษา รวมถึงปรัชญาโบราณที่แทรกอยู่ในเรื่องแล้ว มหากาพย์กิลกาเมชดูจะเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมากๆเกี่ยวกับเทคโนโลยีด้านการบินในสมัยโบราณ ยาน(Shem)ของกิลกาเมชที่ใช้โดยสารไปยังดินแดนของ Anu ก็มีลักษณะคล้ายยานที่มีระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติเป็นที่สุด ตามท้องเรื่องนั้นดินแดนที่กิลกาเมชนำยานขึ้นฟ้าอยู่บริเวณภูเขาที่แวดล้อมด้วยป่าใหญ่ มียามคอยอารักขาอย่างเคร่งครัดไม่ผิดกับสนามบินหรือสถานีอวกาศในยุคปัจจุบันเลย

น่าเสียดายที่มหากาพย์เรื่องนี้ไม่มีภาพประกอบให้เห็นกันชัดๆว่าดินแดนแห่งมิสไซล์ของกิลกาเมชนั้นมีสภาพอย่างไร แต่จากภาพโบราณภาพหนึ่งซึ่งพบในอียิปต์พอจะทำให้เราอนุมานภาพออกได้บ้าง ภาพดังกล่าวเป็นภาพซึ่งถูกระบุว่าเป็นดินแดนอันรุ่งเรืองที่อียิปต์(ช่วงนั้น)รับเอาวิชาการหลายๆอย่างมา ดูรายละเอียดในภาพให้ดีนะครับ ว่าเป็นภาพของป่าขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่มีไซโลยิงจรวดซ่อนอยู่ใต้ดิน ภายในไซโลมีลักษณะเป็นอุโมงค์ยาวซึ่งมีเทคนิคเชี่ยนสองคนกำลังทำงานอยู่ บริเวณโดยรอบมีการประดับประดาด้วยหนังแมวป่าตามไสตล์ศิลปะสุเมเรียน

ภาพของอุโมงค์(หรือท่อ)ดังกล่าวอาจเป็นภายในตัวจรวดเองก็ได้ เพราะถ้าเราสังเกตให้ดีเจ้าท่อที่ว่านี้เหมือนส่วนประกอบที่เป็นห้องต่างๆของจรวดในปัจจุบัน ช่างสองคนที่อยู่ด้านล่างอาจหมายถึงนักบินซึ่งคอยสั่งการไปยังห้องเครื่องที่มีลักษณะคันบังคับที่อยู่เหนือหัวพวกเขา ส่วนบนสุดของจรวดมีลักษณะคล้ายอนุสรณ์สถาน ben-ben ที่ผมเคยกล่าวถึงมาแล้ว เป็นไปได้ไหมครับว่านี่เป็นภาพของ MU หรือ Shem ของชาวสุเมเรียน ซึ่งดูจากสัดส่วนแล้วจรวดลำนี้สามารถบรรทุกผู้โดยสารสองคนได้อย่างสบายๆ เสียอย่างเดียวคือเราไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางของจรวดลำนี้อยู่ที่ใดเท่านั้นเอง

Chapter Five: THE NEFILIM,People of The Fiery Rockets (ต่อ)

Commander of the Anunnaki Spaceport

TIL.MUN หรือ land of missiles ที่กิลกาเมชใช้เป็นจุดปล่อยยานนั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของเทพเจ้าองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าเทพองค์นั้นใช้ที่นี่เป็นที่เดินทางสู่ท้องฟ้าอันสูงลิบอยู่เสมอๆ นามของเทพองค์นั้นคือ UTU หรือ Shamash ผู้ยิ่งใหญ่

Shamash มีสัญลักษณ์ประจำตัวคือดวงอาทิตย์ครับ ทรงเป็นจุดกึ่งกลางของสัญลักษณ์อันศักดิ์สิทธิ์ - ดวงตราแห่งดาวเคราะห์ทั้ง 12 ของชาวสุเมเรียนโบราณ นักวิชาการหลายคนให้ข้อสังเกตว่าดวงอาทิตย์อาจมิได้หมายถึงสัญลักษณ์ประจำตัวของเทพ Shamash หรอก ดวงแสงอันเจิดจ้าที่เข้าใจว่าเป็นแสงอันร้อนแรงแห่งสุริยะนั้นอาจหมายถึงพลังหรือหน้าที่ของ Shamash ก็เป็นได้ ข้อสังเกตนี้น่าคิดมากครับ เนื่องจากนามของ Shamash ในภาษาสุเมเรียนคือ Utu อันมีความหมายว่าเทพผู้เจิดจรัส คำๆนี้แผลงมาเป็นชื่อ Shem-Esh หรือ Shamash อันเป็นภาษาอัคเคเดียนในเวลาต่อมา Esh นั้นแปลว่าไฟ(หรือยิง) ส่วน Shem ก็แปลว่าจรวดอย่างที่รู้ๆกันอยู่

สรุปแล้ว Utu/Shamash น่าจะหมายถึงเทพผู้เป็นเจ้าของอากาศยานอันเรืองโรจน์ ซึ่งก็น่าจะเข้าเค้าถ้าเราสันนิษฐานต่อไปว่าเทพองค์นี้แหละคือผู้บัญชาการสถานีอวกาศของพระเจ้าในยุคโบราณ














โบราณสถานเค้าออกใหญ่โตออกอย่างนี้ จะเก็บยานซักลำสองลำก็ไม่น่าจะมีปัญหานะครับ ว่าไหม

Etana และความลับของมนุษย์อินทรี

พงศาวดารของสุเมเรียนโบราณบอกให้เราทราบว่าในบรรดากษัตริย์สุเมเรียนนั้น มีอยู่องค์หนึ่งซึ่งได้รับอภิสิทธิ์จากเทพเจ้าให้เดินทางสู่สวรรค์อันเป็นดินแดนของ Anu ได้ กษัตริย์องค์นั้นมีนามว่าเอทานา(Etana) ขึ้นครองราขย์เป็นอันดับที่สิบสามในราชวงศ์แห่ง Kish

เอทานาได้รับมอบหมายจากเทพเจ้าให้เป็นผู้นำปวงราษฏร์ชาวมนุษย์ ภายใต้ความช่วยเหลือด้านวิทยาการจากเทพเจ้าอย่างใกล้ชิด มีข้อน่าสังเกตคือเอทานาเป็นเหมือนผู้นำที่ดีทั่วไปครับ คือโหมแต่งานโดยไม่สนใจเรื่องครอบครัว พงศาวดารกล่าวว่าเอทานาไม่มีรัชทายาทมาสืบสันตติวงศ์จากชายาองค์ใดทั้งสิ้น ผู้ที่มาสานต่องานของพระองค์ในฐานะบุตรแห่งเอทานานั้นเติบโตมาจาก Plant of Birth ซึ่งได้รับการประทานจากเทพเจ้าบนสวรรค์ โอรสองค์นี้ถือกำเนิดด้วยการฟักตัวจากผลของต้นไม้ที่มีลักษณะคล้ายรังไหม ฟังดูเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์มากกว่านิทานว่าไหมครับ :)

เอทานาเคยประกอบกิจอย่างหนึ่งเหมือนกิลกาเมชคือเดินทางสู่ท้องฟ้าอันไกลโพ้น พระองค์ของเทวานุญาตจากเทพ Shamash เพื่อโดยสาร Shem ขึ้นสู่ท้องฟ้า ดังคำแปลจากจารึกโบราณที่ว่า

Oh Lord, may it issue from thy mouth!
Grant thou me the Plant of Birth!
Show me the Plant of Birth!
Remove my handicap!
Produce for me a shem!

รายละเอียดในการเดินทางของกษัตริย์องค์นี้มิได้กล่าวถึง Shem มากนักเพราะบทไปตกอยู่ที่คู่หูซึ่งเทพ Shamash รับสั่งให้พาเอทานาเดินทางสู่สวรรค์ คู่หูที่ปรากฏตัวบ่อยที่สุดในตำนานของสุเมเรียนในฐานะคนของเทพเจ้า The Eagle หรือมนุษย์อินทรี...

Shamash นำเอทานามายังหลุมซึ่งมนุษย์อินทรีสถิตย์อยู่ จากนั้นรับสั่งถึงภารกิจที่ปักษาตนนั้นต้องกระทำ ในเอกสารโบราณกล่าวไว้อย่างชัดเจนว่าเมื่อเดินทางมาถึงภูเขาอันเป็นนิวาศสถานของเทพ Shamash เอทานาทรงเห็นหลุมขนาดใหญ่ซึ่งมนุษย์อินทรีสถิตย์อยู่ ณ ที่นั้น Shamash อธิบายถึงจุดหมายปลายทางที่มนุษย์อินทรีต้องพาเอทานาเดินทางไป จากนั้นทรงให้เอทานาทำการสื่อสารกับปักษาตนนั้นเพื่อทบทวนภารกิจอีกครั้ง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีข้อผิดพลาดเรื่องจุดหมายแล้ว Shamash ทรงสอนเอทานาเกี่ยวกับวิธีนำมนุษย์อินทรีขึ้นจากหลุมอันเป็นที่สถิตย์ ก่อนที่การเดินทางจะเริ่มขึ้นนั้นกษัตริย์เอทานาทรงหายใจไม่ทั่วท้องเพราะความประหวั่น แต่แล้วก็ทรงใจชื้นขึ้นเมื่อเสียงของมนุษย์อินทรีดังกระหึ่มไปทั่วหลุมขนาดใหญ่ว่า "เพื่อนยาก เราจะนำท่านขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องบน สู่ดินแดนแห่ง Anu ณ บัดนี้!"












อ่างน้ำเล็กๆของเอทานาควรจะมีลักษณะอย่างในรูป จริงไหมครับ :)

ช็อตเด็ดมันอยู่ตรงนี้นี่เองครับ ระหว่างเดินทางขึ้นสู่ท้องฟ้านั้นมนุษย์อินทรีพูดคุยกับเอทานาไปตลอดทาง พญาปักษาชี้ชวนให้เอทานามองภาพพื้นโลกเบื้องล่างว่ามีสภาพเป็นอย่างไรเมื่อมองจากบนอากาศ เอกสารโบราณบรรยายภาพเอาไว้อย่างละเอียดถึงความเปลี่ยนแปลงที่เอทานาได้เห็น ยิ่งขึ้นสูงเท่าไหร่ทิวทัศน์เบื้องล่างก็เล็กลงเท่านั้น เอทานามองเห็นทิวเขาเริ่มเล็กหรี่จนติดกันเป็นพืด มหาสมุทรสุดลูกหูลูกตาเริ่มมีขนาดเล็กลง ผืนโลกในสายตาของเขาในขณะนี้มีลักษณะไม่ผิดอะไรกับอ่างน้ำเล็กๆ! เมื่อผ่านไปชัวเวลาหนึ่งผืนโลกก็หายไปจากสายตาของเอทานาไปในที่สุด

ผมคิดว่าถ้าคุณเอารายงานของนักบินอวกาศในยุคปัจจุบันมาอ่าน เพื่อดูว่าภาพของโลกที่พวกเขาเห็นขณะกระสวยอวกาศทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้านั้นเป็นอย่างไร มันเปลี่ยนแปลงไปแบบไหนขณะที่ตัวยานห่างออกจากชั้นบรรยากาศไปเรื่อยๆ สิ่งที่คุณจะได้พบนั้นคงไม่ต่างอะไรกับคำบรรยายของกษัตริย์ลำดับที่ 13 แห่งคิชองค์นี้จริงไหมครับ :)

อ้อ... ตามคำบอกเล่าของเอทานั้น ขณะที่เขากำลังติดต่อสื่อสารกับมนุษย์อินทรีที่สถติย์อยู่ในหลุมขนาดยักษ์ ภาพประกอบในตราผนึกแสดงให้เห็นพญาอินทรีทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ส่วนด้านล่างมีหอคอยทรงสูงปรากฏอยู่ เป็นไปได้ไหมว่าสิ่งนั้นคือหอคอยสื่อสารสำหรับอากาศยานของเทพเจ้า

ปัญหาที่เหลือคงมีอยู่แค่ว่า มนุษย์อินทรีที่นำเอทานาขึ้นสู่สรวงสวรรค์นั้นเป็นใครกันแน่?

แย่หน่อยที่ไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้นอกจากตัวคุณผู้อ่านเอง ทำไมน่ะหรือครับ เอางี้นะ ลองนึกถึงฉากลงจอดของหนังอะไรซักเรื่องที่มียานอวกาศ ดีครับ หลับตานึกภาพเอาไว้ จะจินตนาการเอาซาวด์ประกอบกระหึ่มๆมาพ่วงด้วยก็ไม่ว่า จากนั้นก็ตัดภาพมาเมื่อครั้งที่ยานอพอลโล 11 เดินทางไปสู่ดวงจันทร์ ตอนที่ นีล อาร์มสตรอง กำลังส่งข้อความรายงานสถานการณ์มายังศูนย์ควบคุมฮุสตัน เสียงของหัวหน้าทีมอพอลโล 11 ดังกระหึ่มออกมาทางลำโพงสื่อสารเหมือนภาพยนตร์ซาวด์แทร็คว่า

“Houston! Tranquillity Base here. The Eagle has landed”!

เป็นไงครับพอจะจินตนาการออกหรือยังว่ามนุษย์อินทรีที่นำเอทานาขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศนั้นเป็นใคร ข้อความที่ผมโควตมาด้านบนนั้นเป็นคำรายงานของ นีล อาร์มสตรอง ต่อสถานีสื่อสารฮุสตัน Tranquillity base หมายถึงจุดที่ยานจะลงจอด ส่วน Eagle นั้นเป็นโค้ดเนมของลูนาร์ โมดูล อันเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์สำคัญของวงการอวกาศไปแล้ว อ้อ... Eagle ยังเป็นโค้ดที่หมายถึงนักบินอวกาศทั้งสามผู้โดยสารไปกับอพอลโล 11 อีกด้วย เหตุการณ์ในเชิงเปรียบเหล่านี้คงพอทำให้คุณคล้อยตามได้บ้างแหละว่ามนุษย์อินทรีในเอกสารโบราณของสุเมเรียนนั้น มิได้เป็นสัตว์ในเทพนิยายหรือสิ่งมีชีวิตในจินตนาการหรอก มันคือสัญลักษณ์ของนักบินอวกาศและเครื่องบินครับ ถ้าถามผมว่าทำไมต้องเป็นอินทรี ผมคงตอบแบบกำปั้นทุบดินว่าเพราะอินทรีเป็นเจ้าแห่งเวหาครับ สง่างามเหนือวิหคพันธุ์ใดๆ เมื่อพูดถึงเจ้าแห่งท้องฟ้าแล้วไม่ว่าชาติใดภาษาใดก็ต้องนึกถึงนกอินทรีแหละน่า คงไม่เข้าท่านักถ้า นีล อาร์มสตรอง จะรายงานสู่สถานีสื่อสารบนพื้นโลกว่า "ฮุสตัน! เรามองเห็นหลังควายเฒ่าแล้ว กำลังจะเอานกเอี้ยงลงไปเกาะ!"

...เห็นด้วยกับนายโซนิคไหมล่ะครับ :)





รูปเปรียบเทียบระหว่างมนุษย์อินทรียุคปัจจุบันกับมนุษย์อินทรีเมื่อครั้งกระโน้น

เอาเป็นว่าตอนนี้คุณถูกผมต้มเสียเปื่อยสนิทว่าเทพโบราณของชาวสุเมเรียนนั้นคืออาคันตุกะจากนอกพิภพ (ไม่ใช่แค่เทพของสุเมเรียนหรอกของโลกด้วยซ้ำ เพราะหลักฐานก็มีอยู่อย่างชัดเจนแล้วว่า ชนชาติโบราณซึ่งเจริญแล้วทางอารยธรรมล้วนแต่รับการถ่ายทอดเอาวัฒนธรรมจากดินแดนซูเมอร์ไปแทบทั้งสิ้น) ถ้าเป็นซุปเนื้อตอนนี้คุณคงเริ่มจะนุ่มส่งกลิ่นน่ากินนิดหน่อยแล้ว และเพื่อให้เปื่อยได้ที่นายโซนิคจะเริ่มกระบวนการตุ๋นต่อโดยการให้คุณตั้งคำถามไว้ในใจว่า


...เทพเจ้าแห่งโลกโบราณเหล่านี้เดินทางมาจากไหนกันแน่