" โลกของเรามีสัตว์ในสปีชี่ส์ลิงและกบี่(Ape)อยู่ 193 สปีชี่ส์ 192 ใน 193 เป็นสัตว์ที่มีขนปกคลุมตัวรุงรัง ดูเหมือนมีอยู่สปีชี่ส์เดียวเท่านั้นที่ดูแตกต่างออกไป นั่นคือลิงเปลือยที่มีชื่อว่า โฮโม เซเปียนส์"
- Desmond Moriis -
"สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ของวันวานคือความหวังในวันนี้ และเป็นไปได้จริงในวันพรุ่งนี้"
- Robert Goddard -
คำแนะนำ: โปรดอ่าน The Origin of Human ก่อนเสียหากคุณยังไม่เคยอ่าน จะได้รู้ว่าเรากำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันอยู่
สำหรับ สาวกทฤษฎีพระเจ้าจากอวกาศแล้ว ตำนานการสร้างโลกโดยพระเจ้าหรือที่เรียกกันว่า Divine Creation นั้น มีหลายจุดในตำนานที่ชวนให้ระลึกถึงเทคโนโลโลยีที่กำลังก้าวหน้าอยู่ใน ปัจจุบัน ครับ... เรากำลังพูดถึงเรื่องของเทคโนโลยีชีวภาพหรือ BioTechnology กันอยู่ เชื่อไหมครับว่า จริงๆแล้ว Biotechnology ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เพิ่งค้นพบในปัจจุบันเลย มันเป็นการ "ค้นพบอีกครั้ง" หลัง จากที่เทคโนโลยีนี้เคยถูกใช้บนโลกของเรามาเมื่อนานแสนนานแล้วต่างหาก เหมือนที่วงการดาราศาสตร์พบว่ามีดาวเคราะห์ในระบบสุริยะทั้งหมด 9 ดวงในต้นศตวรรษที่แล้ว ทั้งที่ชาวสุเมเรียนหรือชาวอียิปต์รู้ความจริงนี้มาตั้งหลายพันปีแล้วด้วย ซ้ำ เทคโนโลยีชีวภาพก็เช่นเดียวกัน...
บทนี้จะเป็นการขยายความ เรื่องที่ผมเคยลงไปแล้ว คือไบเบิลกับพระเจ้าจากอวกาศ และ Planet X ของชาวสุเมเรียนนะครับ โดยจะยกตัวอย่างของการตีความเล็กๆน้อยๆจากหลักฐานทางโบราณคดี เนื่องจากหลายท่านคงสงสัยแหละว่า เรื่องอัศจรรย์พันลึกเหล่านี้ คนโบราณเค้าบันทึกไว้อย่างไรหรือ แล้วแปลกันออกมาอีท่าไหนไหงได้เรื่องเหลือเชื่อราวกับนิยายวิทยาศาสตร์เสีย อย่างนั้น พร้อมจะดูกันหรือยังล่ะครับ?
:: เทคโนโลยีของพระเจ้า ::
นักคิดนักเขียนหลายคนเชื่อกันอย่างหัวปักหัวปำว่า นานมาแล้ว โลกเราเคยถูกเยี่ยมเยือนและพัฒนาโดยนักท่องอวกาศกลุ่มหนึ่งจากดวงดาวอันไกล โพ้น พวกเขามาตั้งอาณานิคมอยู่บนโลกด้วยวัตถุประสงค์บางอย่าง ทำการพัฒนาสภาพแวดล้อม ระบบนิเวศ และพัฒนามนุษย์เพื่อวัตถุประสงค์บางประการ นักท่องอวกาศกลุ่มนี้ปกครองโลกอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง มีมนุษย์คอยเป้นพลเมืองอันจงรักและยกย่องพวกเขาให้เป็นพระเจ้า ครับ จะเรียกว่าพระเจ้าก็ไม่ผิดนัก เพราะคำจำกัดความในแง่ศาสนาแล้ว มหิทธานุภาพของพระเจ้าซึ่งไม่มีสิ่งใดมาเทียมทานได้ก็คือ ความสามารถในการให้กำเนิดหรือสร้างชีวิตนั่นเอง (ไม่ใช่สร้างชีวิตด้วยการสืบพันธุ์นะครับ อันนั้นคุณหรือผมก็ทำได้ แต่กามเทพคงต้องทำงานหนักหน่อยสำหรับบางคู่น่ะนะ หึหึ..)
นักท่องอวกาศ กลุ่มนี้ถูกเรียกขานจากคนโบราณว่าพระเจ้า ซึ่งถ้าใครสนใจเรื่องทำนองนี้จะพบว่า หนังสือหลายๆเล่มเรียกนักท่องอวกาศกลุ่มนี้ต่างๆกันไป God from space บ้างล่ะ Ancient Astronauts บ้างล่ะ ก็ขอให้เข้าใจนะครับว่าเป็นชื่อเรียกของสิ่งเดียวกัน แต่จะเป็นกลุ่มหรือคนเดียวกันนั้นไหมไม่รู้ด้วยนะครับ เนื่องจากคนโบราณที่บันทึกเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้ต่างก็มีอัตลักษณ์ทาง วัฒนธรรมที่แตกต่างกัน แม้บางส่วนจะคล้ายกันบ้างแต่ก็ยังต่างกันอยู่ ทำให้ชวนเชื่อเหลือเกินว่า พระเจ้าดังกล่าวไม่ได้มาเยือนโลกเพียงแค่กลุ่มเดียวเสียกระมัง
แล้วพวกเขามาทำอะไรกันบนโลก มาตากอากาศอย่างเดียวเรอะ?
คงจะไม่หรอกกระมังครับ เพราะหลักฐานที่เราพอจะหาได้ พระเจ้าจากอวกาศมาตั้งรกรากบนโลกของเราด้วยวัตถุประสงค์หลายประการอยู่ ชาวสุเมเรียนบอกว่าพระเจ้าที่พวกเขาเรียกขานกันว่า Anunnaki นั้น มาแสวงหาแหล่งทรัพยากรบนโลกของเราเพื่อส่งกลับไปยังดินแดนบ้านเกิดของพวกเขา อันเป็นดาวเคราะห์ขนาดมหึมาที่มีวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ถึง 3600 ปี ส่วนชาวมายานั้นบอกว่า พระเจ้าเสด็จลงมายังโลกเพื่อแสวงหาอาณานิคมและสร้างอาณาจักรชั่วคราว ก่อนจะเสด็จกลับไปยังดาวที่เป็นแหล่งพำนัก ส่วนอียิปต์นั้นเล่า ไม่ได้กล่าวขานกันว่าพระเจ้าของพวกเขาลงมาทำอะไรกันบนโลกใบนี้ แต่ก็ระบุเป็นนัยๆถึงถิ่นฐานของพระเจ้าว่าอยู่อีกฟากหนึ่งของท้องฟ้า บริเวณที่เป็นกลุ่มดาว Orion นั่นเป็นบันทึกของชาติที่ยิ่งใหญ่ในอดีตครับ ลองมาดูชนเผ่าเล็กๆด้อยพัฒนาอ่างชาวโดกอนในแอฟริกา พวกเขารู้จักแฝดของดาวซิริอุสมากว่าพันปีทั้งที่ไม่มีกล้องโทรทัศน์ แต่วงการดาราศาสตร์สมัยใหม่เพิ่งมาส่องพบเอาเมื่อเร็วๆนี้เอง มันหมายความว่าอย่างไรหรือครับ หรือสิ่งที่ชาวโดกอนสั่งสอนกันมาว่า นอมโมส มนุษย์มัจฉาพระเจ้าของพวกเขาเดินทางมาจากดาวดวงหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆดาวซิริอุส และลงมาสั่งสอนวิชาความรู้ให้บรรพชนชาวโดกอนอยู่พักหนึ่งนั้นมันเป็นความจริง?
พระเจ้าจากอวกาศ ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ได้ให้อะไรกับโลกนี้มากหลาย ทั้งในเชิงสร้างสรรค์และทำลาย การสร้างกองทัพโคลนเหมือนใน Star Wars Episode II ตลอดจนการใช้อาวุธมหาประลัยประหัตประหารชิงอำนาจกัน ยังคงมีหลักฐานหลงเหลืออยู่มาจนถึงทุกวันนี้ ชะรอยว่า นิสัยก้าวร้าวก่อสงครามของมนุษย์นั้น พระเจ้าจากอวกาศเป็นผู้ประทานให้เป็นมรดกสืบทอดมากระมังครับ... (เรื่องสงครามนิวเคลียร์สมัยโบราณนี้ จะอยู่ในบทของ"สงครามปิระมิด" กับ "Wars of Gds and Men" ที่ผมกำลังเรียบเรียงอยู่)
มรดก ที่บ่งถึงความรุ่งเรืองในยุคสมัยแห่งพระเจ้ากระจัดกระจายอยู่ทั่วโลก ซึ่งก็มีบ้างที่รอการค้นพบ ที่ถูกทำลายไปโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็แยะ ผมเองก็เล่าเรื่องพวกนี้ไปเยอะแล้วเหมือนกันในเว็บไซต์แห่งนี้ ทั้งถาวรวัตถุและโบราณสถาน, เศษชิ้นส่วนที่เราเรียกกันว่า Artifacts, แผนที่โบราณอายุหลายพันปีที่สร้างขึ้นด้วยกรรมวิธีถ่ายภาพทางอากาศ, หินไอก้าในเปรู, คอมพิวเตอร์โบราณที่ใต้ก้นทะเลอีเจี้ยน นี่คือสิ่งที่จับต้องได้ครับ ยังไม่รวมถึงทฤษฎี-ความรู้-แนวคิด ของคนโบราณ(ซึ่งอ้างว่าพระเจ้าสอนฉันมานะ)เช่น เรื่องของดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ เกษตรศาสตร์ ตลอดจนวิศวกรรมศาสตร์อันเหลือเชื่อ และอีกสิ่งหนึ่งซึ่งเรากำลังแกะรอยกัน เพราะวิทยาศาสตร์ปัจจุบันเพิ่งก้าวมาถึงขั้นที่พอจะเข้าใจขอบเขตของความรู้ แขนงได้ นั่นคือ Biotechnology ครับ
... ตำนานก็คือตำนาน แต่ในบางมุมมองนั้น ตำนานโบราณบางเรื่องชวนให้เราอดนำมาเปรียบเทียบกับศาสตร์สมัยใหม่อย่าง Biotechnology ไม่ได้ โดยเฉพาะตำนานของชาติที่ "เข้าข่ายน่าสงสัย" บางชาติ บทบาทที่แทรกอภินิหารหลายบท มันคืออภินิหารของ Biotechnology ชัดๆ มาดูกันหน่อยไหมล่ะ?
## ธ็อธ เทพแห่งความรู้ของอียิปต์โบราณ ได้ช่วยเหลือเทวีไอซิส ในการสกัดและผสมผสานส่วนหนึ่งของร่างกายนางและสวามีคือเทพโอสิริส เพื่อให้กำเนิดเทพเหยี่ยวโฮรัสขึ้นมา จากนั้นสงครามเพื่อล้างแค้นให้โอสิริสผู้เป็นบิดาจึงเกิดขึ้น (ตามตำนานกล่าวไว้ว่า เซธผู้เป็นอนุชาของโอสิริสได้ปองร้ายโอสิริสจนถึงแก่ความตาย และปกครองอียิปต์แทนโอสิริส จนกระทั่งโฮรัสมาชิงอำนาจคืน สงครามระหว่างทั้งสองส่งผลให้ป่าอันเขียวชะอุ่มกินบริเวณกว้างขวาง กลายเป็นทะเลทรายซาฮาร่าในปัจจุบัน! ) นักเขียนหลายคนสังเกตว่า บทบรรยายการต่อสู้ของเซธกับโฮรัส กล่าวถึงสงครามนิวเคลียร์เอาไว้หลายจุด และ Zecharia Sitchin ก็เรียกสงครามครั้งนี้ในหนังสือของเขาว่าสงครามปิระมิดด้วยครับ
## ยังหนีไม่พ้นเรื่องของอียิปต์โบราณ เซธปองร้ายโอสิริส และแยกชิ้นส่วนของพี่ชายกระจัดกระจายไปทั่วอียิปต์ เทวีไอซิสตามไปเก็บชิ้นส่วนดังกล่าวของสวามีมา พันด้วยผ้าแน่นหนา และใช้ศาสตร์ลับของนางทำให้โอสิริสกลายเป็นมัมมี่องค์แรกของอียิปต์ไป เหมือนกับย่อหน้าข้างบนไหมครับ Biotechnology มีบทบาทกับเทพโบราณเหล่านี้เอามากๆเลย แต่นี่แค่ตัวอย่างเล็กๆน้อยๆ ในตำนานของอียิปต์เอง ยังมีเรื่องราวที่เป็นแนวคิดทางการแพทย์และเทคโนโลยีชีวภาพอีกมาก เอาไปแค่หอมปากหอมคอก่อนละกันนะ
## เควซซัลโคเทิล (Quetzalcoatl) แห่งอเมริกาใต้ เทพองค์นี้รับบทบาทเหมือนพระผู้สร้างในดินแดนอื่นๆ พระองค์สร้างมนุษย์จาก image ของตนเอง เป็นที่น่าสังเกตว่า ในบรรดาเทพโบราณของอินคานั้น รูปร่างของแต่ละองค์ล้วนเป็นสัตว์กึ่งมนุษย์หรือไม่ก็พิศดารพันลึกไปเลย มีเพียงเควทซัลโคเทิลองค์เดียวก็สามารถจำแลงแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ อะไรคือความลับในการ morphing แบบนี้ครับ? เทพโบราณของอินคาเป็นสิ่งมีชีวิตคนละสปีชี่ส์กับมนุษย์โลกหรือเปล่า?
## มาดูทางตะวันออกกลางบ้าง ตำนานเรื่องกำเนิดของจอมพลังอย่างแซมซันนั้นก็แฝงไปด้วยปริศนาชวนฉงน มารดาของแซมซันได้รับการมาเยือนจากทูตสวรรค์ของยะโฮวา ทูตสวรรค์ได้ทำนายเอาไว้ว่านางจะมีบุตรในไม่ช้า และเติบโตมาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่เรียกว่า Nazarite อันหมายถึงผู้รับใช้หรือผู้อุทิศดวงจิตให้แก่พระเจ้านั่นเองครับ ทูตสวรรค์ให้คำแนะนำแก่นางมากมาย จนน่าแปลกใจว่า ทูตสวรรค์ดังกล่าวช่างทำตัวคล้ายแพทย์เหลือเกินแถมรู้เพศของทารกก่อนจะเกิด เสียด้วย (เป็นที่น่าดีใจว่า ความสามารถของทูตสวรรค์ในไบเบิลอันนี้ ปัจจุบันเราก็ทำได้เหมือนกัน)
ตำนานของอเมริกากลางและอินเดียนแดง ล้วน กล่าวถึงการกำเนิดของเทพเจ้าในร่างของสาวพรหมจรรย์ ซึ่งเป็นการตั้งครรภ์ที่ไม่ได้เกิดจากการร่วมเพศ การตั้งครรภ์ของหญิงพรหมจรรย์นามชิมัลมา หรือ หญิงม่ายโคอัตลิคูของทอลเท็ค บอกให้เราทราบเป็นนัยๆถึงการผสมเทียมและโคลนนิ่ง ในกรณีของโคอัตลิคูผลแทรกซ้อนทำให้ร่างกายและจิตใจของนางเปลี่ยนแปลงไปอย่าง น่าตกใจที่สุด Biotechnology ทำให้นางมีอายุยืนขึ้นแต่ก็ต้องแลกด้วยชีวิตของพลเมืองที่ต้องนำมาเซ่น สังเวยแก่นาง
สำหรับตำนานของอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลกคืออารยธรรมสุเมเรียนนั้นเล่า มีเรื่องราวของการสร้างงมนุษย์คนแรกของโลก "อาดัม" (ครับ... เรื่องเดียวกับในไบเบิลนั่นแหละ) Zecharia Sitchin ผู้ศึกษาอักษรคิวนิฟอร์มจนแตกฉานสรุปเรื่องราวการสร้างมนุษย์ไว้ในงานเขียน ของเขาว่า
"... เทพผู้สร้าง Enki ดำริที่จะสร้างมนุษย์จากสิ่งมีชีวิตที่มีอยุ่แล้วบนโลก วัตถุดิบที่พวกเขาหามาทำการทดลองคือลิง ape เพศเมีย มนุษย์ที่พวกเขาสร้างนั้นเรียกกันว่า Lulu Amelu (the mixed worker) โดยการนำเอายีนของพระเจ้าคือ Anunnaki มาผสมเข้ากับเซลของมนุษย์โลก จากนั้นก็ฝังเข้าไปในรังไข่ของ Anunnaki เพศหญิง หลังจากลองผิดลองถูกอยู่นาน พวกเขาก็ประสบความสำเร็จ มนุษย์โลกที่เป็น Homo Zapiens ในปัจจุบันจึงเกิดขึ้นด้วยประการฉนี้..."
บทแทรก: ตัวอย่างแนวทางการตีความตามตำนาน
เป็นไงครับ เรื่องราวที่เพิ่งผ่านตามาเมื่อหน้าที่แล้ว อาจสร้างความกระพร่องกระแพร่งมึนงงให้กับหลายๆท่านเอาได้ บางท่านก็อาจสงกาว่า คนโบราณเค้าบันทึกไว้อย่างนี้ตรงๆหรือ นักเขียนบางคนที่อ้างตำนานโบราณเค้ายกเมฆเอาเองไหมนะ... ซึ่งตรงนี้ผมคงต้องเรียนว่า ต้นฉบับที่ผมใช้อ้างอิงนั้นเป็น text ที่ค่อนข้างยาวครับ รายละเอียดครบถ้วนชนิดยกมาวิเคราะห์กับบทต่อบทคำต่อคำ ครั้นจะให้ผมยกมาทั้งดุ้นแล้วแปลทีละบรรทัดน่ะ ผมไม่อุตสาหะทำขนาดนั้นแน่
แต่ว่าน่ะนะครับ ถ้าไม่มีตัวอย่างแนวทางการตีความสักหน่อย เดี๋ยวท่านจะหาว่านายโซนิคยกเมฆเอาได้ ดังนั้น ผมขอ quote มาซักตัวอย่างนึงเพื่อให้ท่านเห็นว่า งานเขียนของนักเขียนเหล่านี้ค่อนข้างสมบูรณ์และมีรายละเอียดชวนเชื่อ(ไม่ได้ บอกว่าให้เชื่อนา...)อยู่บ้างเหมือนกัน บทที่ยกมาเป็นบทที่เรารู้จักกันดี เพราะกล่าวตรงกันทั้งสองแหล่ง นั่นคือตำนานของชาวสุเมเรียนกับบทเยเนซิสที่ว่าด้วยการสร้างโลกและมนุษย์
นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันผู้ทำงานกับ DNA เรากำลังตามรอยของพระเจ้ายังงั้นรึ?
บอกว่าจะยกมาทั้งดุ้นผมก็ยกมาจริงๆนะเนี่ย บทที่ว่าด้วยการตัดสินใจของเทพแห่งเมโสโปเตเมียที่จะสร้างมนุษย์ขึ้นมา ลองอ่านกันดูครับ ไม่ต้องห่วงหรอก ผมเอาภาษาอังกฤษมาครับ (ถ้าผมอ่านคิวนิฟอร์มออกก็ดีน่ะสิ)
"... Mix to a core to Clay
from the basement of Earth,
just above the Abzu -
and shape it into the form of a core.
I shall provide good, knowing young gods.
who will bring that caly to the right condition."
Abzu คือดินแดนของเทพเจ้าครับ บทนี้กล่าวถึงการตัดสินใจของ Enki ในการสร้างมนุษย์และมอบหมายหน้าที่ให้เทพธิดาแห่งความรู้ หาทางสร้างมนุษย์ขึ้นมาจากวัตถุบนโลก อะไรคือวัตถุดังกล่าวครับ ลองมาดูประโยคที่ว่า "Mix to a core the clay " สิครับ ไปตรงกับ "ปั้นแต่งมนุษย์จากฝุ่นผงแห่งพสุธา" หรือ "from the dust of ground" ใน บทเยเนซิสของไบเบิล โคลนหรือฝุ่นชนิดไหนกันครับที่พระเจ้าเอามาสร้างมนุษย์ เรื่องพวกนี้ถ้าอ่านผ่านๆมันก็ตำนานอภินิหารธรรมดานั่นแหละ แต่ถ้าลองมาวิเคราะห์จริงๆจากมุมอื่นแล้ว เราจะเห็นอะไรซ่อนอยู่มากมาย ลองดูตัวอย่างกันนะครับ
ไบเบิล ฉบับพันธสัญญาเก่าถูกเขียนขึ้นด้วยภาษาฮีบรูว์ ฉบับแปลทั้งหลายแหล่ที่เรารู้จักกันนั้น คำแปลก็ผิดเพี้ยนไปตาภาษาและการตีความของคนแปล ดังนั้น การศึกษาเราจึงต้องศึกษาจากต้นฉบับที่เป็น Original ของมัน ซึ่งมันจะ Original จริงๆหรือเปล่าก็ไม่มีใครบอกได้ แต่ที่แน่ๆคือฉบับที่เก่าที่สุดย่อมเพี้ยนน้อยที่สุด บทในการสร้างมนุษย์ในไบเบิลกล่าวถึงฝุ่นผงหรือโคลนที่ใช้ในการสร้างมนุษย์ ภาษาฮีบรูว์โบราณใช้คำว่า 'tit' ซึ่งไปตรงกับภาษาสุเมเรียนว่า 'TI.TI' อันมีความหมายในภาษาอังกฤษได้ทั้งคำว่า clay และ "that which is with life'
... นั่นคืออาดัมถูกสร้างขึ้นมาจากสิ่งที่มีชีวิตอยู่แล้วงั้นหรือครับ?
เพื่อเพิ่มความเวียนหัวอีกตลบ มาต่อกันอีกจึ๋งสองจึ๋งท่าจะดี มาดูกันว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่อาดัมถูกสร้างขึ้นมาแล้ว สรรพสิ่งย่อมมีอยู่เป็นคู่ เมื่อมีมนุษย์ผู้ชายก็จำต้องมีผู้หญิงอยู่ด้วย ดังนั้นอีฟจึงถูกสรางขึ้นมาโดยอาศัยอาดัมเป็นต้นแบบ ผมจะลองยกบทที่เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้มาให้อ่านกัน ขอให้อ่านย่อหน้าด้านล่างนี้กันอย่างระมัดระวังนิดนึงนะครับ
"So the Lord God caused the man to fall in to a deep sleep; and while he was sleeping, he look one of the man's 'ribs' and closed up to place with flesh. Then the Lord God made a woman from the 'rib' he had taken out of the man..."
พระเจ้าของชาวสุเมเรียนกับการสร้างมนุษย์ สิ่งที่เราเห็นในรูป คือความลับของพระเจ้าในการสร้างมนุษย์ งูสองตัวที่กระหวัดรัดพันกันอยู่ ผมคงไม่ต้องแนะนำท่านกันหรอกนะครับว่า มันดูเหมือนและหมายถึงอะไร
อ่านแล้วนึกถึงอะไรกันไหมครับ การพิเคราะห์พิจารณาก่อนผ่าตัดของศัลยแพทย์? การวางยาสลบให้ผู้ป่วยหลับลึก? พระเจ้าดึงเอา ribs - - กระดูกซี่โครงของอาดัมออกมาเพื่อสร้างอีฟ ก่อนอื่นเรามาดูคำว่า ribs กันนิดนึง ต้นฉบับของภาษาสุเมเรียนนั้นคำส่า rib คือคำว่า TI อันมีความหมายสองนัยคือ rib(กระดูกซี่โครง) และ life(ชีวิต)
อืมห์... ถ้ามันคือชีวิตแล้วล่ะก็นะ 'ชีวิต' ชนิดไหนครับที่พระเจ้าดึงออกมาจากตัวของอาดัมเพื่อสร้างอีฟ อิทธิฤทธิ์ชนิดนี้ของพระเจ้า ทำให้ผมนึกไปถึงการดึงเอาอณูแห่งชีวิต ส่วนประกอบเล็กๆที่เรียกว่า DNA มาผ่านกรรมวิธีก่อนทำโคลนนิ่งยังไงชอบกล หรือนายโซนิคคิดมากไปก็ไม่รู้สินะครับ
[ป.ล. และนี่คือตัวอย่างเล็กๆน้อยๆของการถอดความและศึกษาตำนานโบราณ ว่าตีความอย่างไรถึงออกมาได้แบบนี้ แต่ขอบ่นหน่อยนะครับ แค่หัวข้อเล็กๆแค่บทเดียวผมยังต้องยกตัวอย่างออกมายืดยาวขนาดนี้ ถ้าเขียนโดยละเอียดชนิดบทต่อบทล่ะ บรื๋อ... ไม่อยากจะคิด (แต่มันก็ให้รายละเอียดที่ครบถ้วนและเห็นภาพตามใช่ไหมล่ะครับ?) ทีนี้เข้าใจกันหรือยังว่าทำไมนายโซนิคชอบบ่นจังเลยว่าต้องตัดโน่นนิดย่อนี่หน่อยนัก]
ฟู่... นอกเรื่องกันมาเสียนาน ตอนนี้เราก็โดดออกจากบทแทรกเข้าเรื่องราวของเราต่อกันเลยดีนะครับ
สรุปแล้ว... นี่มันตำนานหรือวิทยาศาสตร์?
เรื่องราวทั้งหลายทั้งปวงที่เป็นตำนานนั้น หลายต่อหลายเรื่องที่ผู้เล่าหรือผู้จัดทำไม่รีรอที่จะสอดแทรกอภินิหารเข้าไป เพื่อหลอกล่อคนฟัง จนกระทั่งประวัติศาสตร์พงศาวดารบางเรื่อง กลายเป็นเทพนิยายไปเลยก็มี ในบรรดาตำนานทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ มีอยู่ไม่น้อยที่มีร่องรอยของความเป็นจริงปะปนอยู่ ซึ่งเรื่องราวเหล่านั้นก่อให้เกิดประเด็นคำถามที่น่าสนใจขึ้นมาว่า
1. ในยุคโบราณ เทพเจ้าใช้วิธีการใดในการผสานยีนของพวกเขาเข้ากับลิง ape เพศเมีย เพราะปัจจุบันเราทราบกันว่า การผสมข้ามสายพันธุ์หรือสปีชี่ส์นั้นมัน"เป็นไปไม่ได้" แต่ถ้าจีนัสเดียวกันยังพอมีสิทธิอยู่ (เอ้าใครเรียนวิชาเอกชีววิทยาหรือทาง Genetic มาช่วยอธิบายทีครับ) แต่ในตำนานโบราณพระเจ้ากลับเลือกใช้วิธีนี้ มันเป็นไปได้หรือ?
2. ทำไมทูตสวรรค์กับหญิงสาวชาวมนุษย์ ซึ่งมีพันธุกรรมที่แตกต่างกันจึงสามารถแต่งงานอยู่กินกันได้ (เรื่องนี้ปรากฏอยู่ในไบเบิลครับ)
3. เรื่องราวในประวัติศาสตร์มากมายที่กล่าวถึงวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์และศาสดา พยากรณ์ จุดนี้เกี่ยวกับพระเจ้าจากอวกาศหรือไม่ ถ้าเกี่ยว มันคือปรากฏการณ์ทางวิญญาณหรือว่าเป็น Biotechnology of the Gods ครับ?
4. เหตุใด"กษัตริย์เทพ" ของอียิปต์และเมโสโปเตเมียโบราณ (รวมทั้งมนุษย์ในยุคแรกๆ) จึงสมรสกันในสายเลือดได้ และมีทายาทที่เติบโตมาอย่างปกติอายุยืนยาว โดยไร้ซึ่งอันตรายจากการสมรสในสายเลือดที่เราเรียกกันว่า "damage of the family gene pool" เลยแม้แต่น้อย
คำถามพวกนี้"พระเจ้าจากอวกาศ"เท่านั้นที่จะตอบได้...