วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

Ancient Astronaut: บทที่ 2 นักบินหรือพระเจ้า


















Ancient Astronaut: บทที่ 2 นักบินหรือพระเจ้า ?

กรณีศึกษาที่น่าสนใจของนายจอห์น

ในราวปี 1930 นักบินชาวอเมริกันและออสเตรเลีย ได้รับภารกิจให้เป็นทีมสนับสนุนการสำรวจป่าลึกแห่งหนึ่งในนิวกีนี พวกเขาต้องทำการบินเพื่อลงจอดบนเกาะและลำเลียงเสบียงรวมไปถึงเครื่องมือต่างๆ แน่นอนว่าพวกเขาพบกับชาวพื้นเมืองของที่นั่น บนเกาะเล็กๆแถบนิวกีนีที่มีลักษณะถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง ชาวป่าประหลาดใจกับการมาของพวกเขา และยิ่งตระหนกกับ"นกยักษ์"ที่นักบินโดยสารมาด้วย นักบินทั้งสองมาที่เกาะบ่อยๆเพื่อส่งเสบียง และแน่นอน พวกเขาไม่ลืมที่จะทิ้งของฝากเล้กๆน้อยๆ เช่นอาหารกล่อง หรือ โค้ก ให้กับชาวป่าเพื่อสร้างมิตรภาพ ไม่มีใครเอะใจกับเหตุการณ์ช่วงนั้นจนกระทั่งเวลาผ่านไปสิบกว่าปี

นักสำรวจอีกทีมได้มาที่เกาะนี้ พวกเขาประหลาดใจกับพฤติกรรมของชนพื้นเมืองที่นี่ โดยเฉพาะเมื่อเครื่องบินของทีมสำรวจลงจอด ที่หมู่บ้านของชาวป่า นักสำรวจทีมนั้นได้พบกับเทวรูปศักดิ์สิทธิ์ของชาวป่า เป็นรูปแกะสลัก"นกยักษ์"ที่เห็นได้ชัดว่าเลียนแบบเครื่องบินใบพัดสองชั้น เซอร์ไพรส์กว่านั้น... ชาวป่าเหล่านี้ได้ทำแม้กระทั่งกล่องที่เลียนแบบวิทยุสื่อสารของนักบินที่ทำจากไม้ไผ่!!

ล่ามพื้นเมืองที่ไปกับคณะนักสำรวจได้สอบถามชาวป่าเหล่านี้พบว่า พวกเขาได้ทำสิ่งเหล่านี้ขึ้นเพื่อรำลึกถึงพระเจ้าจากท้องฟ้า ผู้มาพร้อมกันนกยักษ์ "Jon Frum" และมาทราบกันทีหลังเมื่อทีมสำรวจชุดนี้สืบสาวราวเรื่องขึ้นไปว่า ทีมนักบินที่มาที่เกาะนี้ชุดแรกนั้นชื่อ John และชื่อ Jon Frum นี้ก็น่าจะมาจากคำว่า "John From New York" ซึ่งเป็นคำปกติธรรมดาเวลาที่จอห์น - นักบินคนนั้นแนะนำตัว

อ่านแล้วพอปิ๊งอะไรขึ้นมาบ้างไหมครับ?





หรือว่าสิ่งประดิษฐ์โบราณเหล่านี้ เป็นสิ่งที่บรรพชนเราทำเลียนแบบ "นกเหล็ก"ที่พวกเขาเคยเห็น




จิ๊กซอชิ้นเล็กๆเท่าที่พอจะเอามาเชื่อมเพื่อเป็นภาพใหญ่ๆโดยรวมของพระเจ้าจากอวกาศ ที่เราจะพูดถึงกันก็ได้แก่

ลายเส้นขนาดยักษ์ บนพื้นราบทั่วโลก เช่นลวดลายบนที่ราบนาซก้าและถนนในบริเวณใกล้เคียง เช่น ceques อันเป็นถนนสายสำคัญที่ผ่านบริเวณโบราณสถานหลายแห่งในโบลิเวีย หรือ Ley Line ในอังกฤษ ที่เป็นเส้นตรงเชื่อมกองหินโบราณหลายๆแห่งเข้าด้วยกัน

ปิระมิดหลากสไตล์ ซึ่งตรงนี้เราจะมาพูดถึงกันโดยละเอียดในภายหลัง เพราะดูเหมือนว่านอกจากวัตถุประสงค์ทางศาสนาแล้ว ปิระมิดเหล่านี้ยังถูกสร้างขึ้นมาด้วยประโยชน์ใช้สอยที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นในอียิปต์ อเมริกากลาง จีน เมโสโปเตเมีย หรือแม้แต่ในอเมริกาใต้

สิ่งก่อสร้างขนาดยักษ์ ที่ยักษ์สมชื่อ เพราะบางที่ใช้หินก้อนขนาดสองล้านปอนด์ในการสร้าง คนโบราณสร้างมันขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีไหน? การสร้างอาจไม่มีปัญหาแต่การขนย้ายเล่า เรื่องนี้แม้แต่วิศวกรระดับโลกยังส่ายหน้าด้วยความกังขา

บันทึกโบราณ ที่เขียนถึงพระเจ้าผู้สามารถไปไหนมาไหนได้ทางอากาศ ทั้งคัมภีร์ Enuma Elish, อัลกุรอาน, โปโปล วู (มายา), มหาภารตะ, ไบเบิ้ล, และจารึกดินเหนียวที่บันทึกการเดินทางของพระเจ้าที่เราพบกันในตะวันออกกลาง

ประตูสวรรค์ (Heaven Gates - - หรือจะ Star Gates ตามหนังดีล่ะครับ) เป็นประตูหรือช่องทางที่ใช้สัญจรระหว่างโลกและสวรรค์ที่ปรากฏอยู่ในตำนาน หากมองตามประวัติศาสตร์ที่เราทราบ สถานที่ติดต่อระหว่างสวรรค์กับโลกนี้ มีการพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป ลองไปหาตำนานสุเมเรียนสักเล่ม หรือคัมภีร์พันธสัญญาเก่ามาอ่านสิครับ จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ก่อนที่ศาสนสถานขนาดมหึมาจะถูกสร้างขึ้นนั้น ถ้ำหรือซอกหินตามธรรมชาติ คือแหล่งที่พระเจ้าใช้เสด็จลงมายังโกลมนุษย์ ในบางคราว ก็มีเฉพาะนักบวชชั้นสูงหรือกองอารักขาเท่านั้นที่สามารถเข้าไปในสถานที่หวงห้ามเหล่านี้ได้ ในบางครั้ง สถานที่เหล่านี้ กลับดูเหมือนหลุมหลบภัยที่ใช้ป้องกันกัมมันตรังสีมากกว่าศาสนสถาน ลองมาดูตัวอย่างกันไหมครับ


:: รวมมิตรปิระมิด ::




"He who wonders discover that this in itself is wonderful" - - M.C. Escher




ห่าง หายกันไปเสียแสนนาน ใครที่นึกว่าผมทิ้งเว็บนี้ไปแล้วก็อย่าเพิ่งปลงนะครับ นายโซนิคยังอยู่นี่ไม่ได้ล้มหายตายจากไปไหน ถึงจะห่างกันหน่อยตามกรรมและวาระ นั่นก็เป็นความจำเป็นของชีวิตที่เลี่ยงไม่ได้

ผม ลองมาไล่ๆดูเรื่องที่ตัวเองทำทิ้งไว้ ตกใจเหมือนกันครับเพราะมันค้างเติ่งอยู่หลายเรื่องมากเลย ประมาณว่าทำได้ซักพักก็ค้างเอาไว้ไม่ยอมทำให้จบ ซึ่งตรงนี้ต้องขอทำความเข้าใจอีกรอบล่ะนะครับว่า บทความหรือเรื่องที่ผมนำมาเสนอนั้นช่วงหลังๆมันมีแต่ยาวๆทั้งนั้น ครั้นจะทำให้จบเรื่องเป็นซีรี่ส์ๆไป เช่นร่ายยาวแอตแลนติสให้จบเสียในทีเดียวนั้น คงกินเวลามากเอาการ แล้วก็อาจจะมีหลายๆท่านที่สนใจเรื่องอื่นมากกว่า ดังนั้นผมจึงเลือกใช้วธีนี้แหละครับ ทยอยทำไปทีละหลายเรื่องๆ เรื่องละตอนสองตอนสลับกันไป ผลก็คือมีหลายเรื่องมากที่ผมยังห้อยท้ายไว้ว่า Under Construction หรือ "รอหน่อย มี Update ต่ออีก" อะไรประมาณนั้น ใครที่หงุดหงิดอยุ่กับการรอคอย ก็คงให้อภัยผมนะคร๊าบ ^.^

เอ้า... มาต่อเรื่องของเรากันเลยดีกว่า กับ Ancient Astronauts Revisited (ต่อไปจะพูดย่อๆว่า AA หรือ AAR เพื่อความคล่องปาก) ซึ่งแรกทีเดียวเมื่อได้ต้นฉบับมาเป็นหนังสือเล่มหนึงและเอกสารที่ Print มาอีกสองปึ๊ง แต่มัน"เยอะมาก"เลยครับ แถมศัพท์แสงที่พี่แกใช้ก็ยากเย็นแสนเข็ญสำหรับนายโซนิคเหลือเกิน งานชิ้นนี้เลยเป็นไปแบบกระดึ๊บๆเหมือนกิ้งกือเดิน อีกประการ งานใหญ่เนื้อหาเยอะแบบนี้ถ้าย่อยสั้นเสียจนเกินเหตุล่ะก็ มันไม่ดีกับคนอ่านแน่ๆ โดยเฉพาะเรื่องในวันนี้น่ะ ผมต้องแกะอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากมันใหญ่โตมโหฬารอยู่ค่อนข้างมาก

อ๋อ... เราจะมาคุยกันเรื่องปิระมิดครับ...






เชื่อว่าทุกท่านคงรู้จักและคุ้นเคยกับปิระมิดเป็นอย่างดี เจ้าสิ่งก่อสร้างโบราณขนาดมหึมานี้ นักโบราณคดีเค้าว่ามันมีวิวัฒนาการมาจากรูปทรงของภูเขาครับ ใครเรียนประวัติศาสตร์หรืออารยธรรมโลกมาก็คงได้ข้อมูลจากอาจารย์ตรงกันว่า ทุกชาติทุกภาษาที่สร้างปิระมิดล้วนแต่พัฒนารูปทรงของมันมาจากภูเขาทั้งสิ้น ทั้งนี้เพราะคนโบราณเชื่อกันว่า เทพเจ้าของพวกเขาสถิตย์อยู่บนขุนเขานั่นเอง ตัวอย่างเช่น ภูเขาโอลิมปัสของกรีก เขาไกรลาสของอินเดีย เขาแอนดิสในอเมริกาใต้ รวมไปถึงฟูจิซังภูเขาไฟที่มีภูมิทัศน์สวยงามที่สุดในญี่ปุ่น

ในไบเบิลเองก็กล่าวถึงยะโฮวา ในฐานะผู้สวมบทบาทของ "พระเจ้าแห่งขุนเขา" ด้วยครับ

แต่นักลึกลับศาสตร์และนักจานผีวิทยา(OFOlogist) กลับมองลึกลงไปกว่านั้น พวกเขาเชื่อว่าการสร้างปิระมิดของคนโบราณ คือมรดกตกทอดที่มนุษย์ได้รับมาจากพระเจ้า(ซึ่งมาจากอวกาศ?) ตัวอย่างง่ายๆ ชนชาติที่เจริญผิดยุคในสมัยโบราณนั้น ล้วนแล้วแต่มีวัฒนธรรมที่เกี่ยวพันกับการสร้างปิระมิดอย่างล้ำลึก บางชาติเช่นสุเมเรียนและอินคาถึงกับมีบันทึกระบุไว้ชัดเจนเลยว่า ศาสตร์ในการสร้างปิระมิดขนาดใหญ่นั้น พวกเขาได้รับการถ่ายทอดจาก"พระเจ้า"ครับ

อืม... ฟังดูคลาสสิคและก็เป็นไปได้มากเสียด้วย เพราะปิระมิดหลายแห่งนั้น ต่อให้ใช้เทคโนโลยีและกำลังคนที่มีในศตวรรษที่ 21 ก็ยังทำได้ยาก ลำพังคนโบราณที่อาศัยเพียงแรงหรือเครื่องไม้เครื่องมือง่ายๆนั้นไม่น่าจะ สร้างขึ้นมาได้ นอกจากอาศัยความช่วยเหลือของ "พระเจ้า" เท่านั้น คำพูดนี้ว่ากันตามความน่าจะเป็นและการศึกษาทางโบราณคดีนะครับ มิได้ดูถูกสติปัญญาของคนโบราณแต่ประการใด


:: Why The Pyramids Everywhere ?::

ปิระมิดทั้งหลายที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วโลกใบนี้ ล้วนแต่มีสถาปัตยกรรมและรูปแบบเป็นของตัวเอง นับว่าน่าแปลกนะครับ ปิระมิดเหล่านี้มีอยู่แทบจะทุกทวีป ทั้งใน ยุโรป อเมริกา แอฟริกา ตะวันออกกลางและตะวันออกไกล เอเชียแปซิฟิค รวมทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเราด้วย กระจายกันอยู่ทุกสารทิศว่างั้นเถอะครับ

เนื่อง จากนายโซนิคไม่มีอาชีพเป็นไกด์ผี ดังนั้นจึงไม่สามารถพาทุกท่านไปทัวร์ปิระมิดจนครบทุกที่ สิ่งเดียวที่พอจะทำได้คือแนะนำปิระมิดในบางสถานที่ซึ่งมีความ"พิเศษ" บางประการ ความพิเศษดังกล่าวคือสิ่งที่ผมเรียกมันว่าจิ๊กซอครับ จิ๊กซอชิ้นเล็กๆที่จะเชื่อมต่อกันเป็นภาพใหญ่ที่ผมอยากให้ท่านได้ทัศนากันใน วันนี้ แล้วมันมีอะไรน่าสนใจบ้างหรือ? ไปดูกันเป็นที่ๆเลยดีกว่าครับ






Ziggurat อันยิ่งใหญ่ของชาวเมโสโปเตเมียโบราณ




อิรัค : สิ่งก่อสร้างทรงปิระมิดโบรารที่เราเรียกกันว่าซิกกูรัต(Ziggurat) ในเมือง Ur ของดินแดน Sumer โบราณ

อียิปต์ : ปิระมิดแบบ step ในเมืองซัคคารา

อียิปต์ : หมู่ปิระมิดทั้งสามที่เมืองกีซา หรือมหาปิระมิดนั่นเองครับ ที่นี่เป้นปิระมิดที่มีลักษณะโดดเด่น เพราะผนังของปิระมิดถูกทำให้ราบเรียบ(อย่างน้อยก็ในสมัยก่อน ปัจจุบันไม่เรียบแล้วล่ะครับ เพราะผุพังไปตามกาลเวลาและน้ำมือมนุษย์) นักเขียนชื่อเกรแฮม แฮนค็อค ได้ให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับปิระมิดที่กีซาเอาไว้ว่า สิ่งก่อสร้างที่เป็น ground plan ของบริเวณนั้นดูแตกต่างจากสิ่งก่อสร้างอื่นที่อยู่เบื้องบน เนื่องจากอายุอานามที่ปาเข้าไปถึง 10,500 B.C. หรือหมื่นสองพันกว่าปีนั่นเทียว แต่ตัวปิระมิดแห่งกีซาและปิระมิดเล็กที่รายรอบ กลับสร้างขึ้นราวๆ 2,500 B.C. เท่านั้นเอง ซึ่งนับว่าแปลกมาก

เพราะอายุอานามที่แตกต่างกัน ถึงขนาดนั้นนั่นเอง ทำให้หลายคนเชื่อว่า ปิระมิดสามหลังนั้นถูกสร้างเพื่อคร่อมทับซากโบราณสถานในยุคก่อน แต่ข้อนี้ไม่มีใครยืนยันได้เต็มปากเต็มคำหรอก อีกอย่างนะครับ เสียงเล่าลือที่หนาหูเกี่ยวกับอุโมงค์ลับใต้ดินที่อยู่ใต้ปิระมิดนั้น ช่างเย้ายวนใจนักโบราณคดีและผู้ชื่นชอบเรื่องลึกลับเสียเหลือเกิน เป็นที่น่าเสียดายว่าปัจจุบันทรายได้กลบทับบริเวณนั้นไปหมดแล้ว ครั้นจะมีการรื้อขุดค้นเพื่อหาอุโมงค์ดังกล่าว รัฐบาลอียิปต์และองค์การที่เกี่ยวกับมรดกโลกเค้าคงยอมอยู่หรอกนะครับ ฮึ่ม...

ปริศนาอีกประการที่อยู่ใกล้ๆกับกีซาก็คือสฟิงซ์ครับ น่าแปลกใจมากที่สฟิงซ์นั้นเลือกสร้างในทำเลที่โดดเด่นมากๆ และมองเห็นได้ง่ายแม้ว่าอยู่บนชั้นบรรยากาศ แถมรูปร่างและพื้นที่รายรอบนั้นก็ดันไปใกล้เคียงกับพื้นที่บนดาวอังคารที่ เรียกว่า ไซโดเนีย อย่าง เป็นที่สุด อันว่าไซโดเนียนี้คือพื้นที่ที่ NASA ไปได้ภาพถ่ายใบหน้าคนบนดาวอังคารมานั่นเองครับ แม้จะมีแถลงการออกมามากมาย และมีหนังสือสนับสนุนจานักวิชาการยืนยันว่ามันเป็นเพียงภูเขาธรรมดาก็ เหอะ...






ปิระมิดของชาวมายา




เม็กซิโก : ปิระมิดแบบ step สุดสูงแห่งเมือง ชิเซ่น-อิทซา, มองเต อัลบาน, วิหารในเมืองพาเลงกอ, ที่ซึ่งมีส่วนคล้ายคลึงกับหมู่ปิระมิดแห่งกีซาอย่างน่าประหลาด อันนี้เป็นปริศนาที่ชวนให้ขบกันหัวแตกอีกประการหนึ่งในวงการโบราณคดีเหมือน กันครับ ว่าทำไม๊ทำไมชนโบราณแห่งอเมริกาใต้ถึงได้บุกบั่นขึ้นไปสร้างปิระมิดและศาสน สถานกันบนเขาสูงนัก ปิระมิดหลายๆลูกจงใจต่อเสริมเติมยอดให้โดดเด่นเป็นพิเศษ ราวกับว่าสร้างเพื่อให้สามารถสังเกตได้ง่ายจากทางอากาศกระนั้น...

เม็กซิโก : ไซต์ทางโบราณคดีที่ขุดค้นกันใหม่ที่โชลูลาซึ่งตั้งอยู่บริเวณภูเขาไฟโปโปเค เตเพเทิล หรือ เอล โปโป(El popo) ในภาษาโบราณของชนพื้นเมือง อันแปลว่า "man-made moutain" หรือภุเขาที่สร้างขึ้นด้วยฝีมือของมนุษย์ ซึ่งบริเวณนี้เองที่ตำนานของชาวอินคากล่าวไว้ว่า เควซซัลโคเทิลเทพผู้ยิ่งใหญ่ได้เสด็จลงมาสู่ผืนโลกครั้งแรก โชลูลามีความหมายในภาษาอังกฤษว่า "the place of flight" ครับ น่าคิดดีป่ะ? และในบริเวณใกล้ๆกันมีปิระมิดที่เรียกกันว่า "Piramide Tepanapa" อยู่ เป็นปิระมิดยักษ์ใหญ่ที่มีความสูงถึง 200 ฟุต และฐานโดยรอบรวม 1300 ฟุต นับเป็นปิระมิดที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาใต้ อ้อ... อาจจะใหญ่ที่สุดในโลกด้วยซ้ำ ปิระมิดแห่งนี้มีวิหารเล็กๆประดับอยู่ด้านบนเพื่อประกอบพิธีกรรมลึกลับบาง ประการ ซึ่งภายหลังในยุคที่สเปนรุกรานวิหารดังกล่าวก็แปรสภาพกลายเป็นโบสถ์คริสต์ไป และยังคงอยู่ตราบถึงปัจจุบัน

เม็กซิโก: ปิระมิด เทรส ซาโปเทส (1400-1300 B.C.) ของชาวออลเม็ค นับเป้นปิระมิดดินเผาที่เก่าแก่ที่สุดในเมโสอเมริกา เป้นแหล่งโบราณคดีอีกแหล่งหนึ่งที่ทำให้วงการโบราณคดีงงกันเป็นไก่ตาแตก เพราะออลเม็คคืออารยธรรมของชนผิวดำครับ "มีอารยธรรมของนิโกรในอเมริกาก่อนยุคค้าทาส? มันจะเป็นไปได้ไงในเมื่อประวัติศาสตรืที่เราเรียนมา นิโกรจากอาฟริกาขึ้นฝั่งสู่โลกใหม่กับเรือค้าทาสของชาวยุโรป ก่อนหน้านั้นอเมริกากลางไม่เคยมีนิโกรหรือชาวยุโรปไปพำนักอาศัยอยู่แน่ๆ..." หลายท่านอาจจะเถียงผมแบบนี้ ก็ตรงกับที่ผมคิดและสงสัยน่ะนะครับ ซึ่งเราก็คงต้องงงกันต่อไปตราบใดที่ปริศนานี้ยังไขกันไม่กระจ่างชัด เรื่องของชาวออลเม็คนั้น มีคนโยงเข้ากับโมอายที่เกาะอีสเตอร์และหอคอยคนบาปบาเบลด้วย ว่างๆจะเอามาเล่าให้ฟังกัน






นี่ก็ปิระมิดของชาวมายาเช่นกันครับ




เม็กซิโก : ปิระมิดและวิหารสุริยเทพของชาวอินคาที่เมืองติโอติฮัวกัน หนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของชาวอินคาที่รู้จักกันไปทั่วโลก จอห์น มิเชล กล่าวในงานเขียนของเขาว่า วิหารสุริยานั้นใช้มาตรและหน่วยวัดที่ตรงกับหน่วยวัดของชาวฮีบรูว์โบราณ ซึ่งก็บังเอิญว่าไปตรงกับหน่วยวัดที่ใช้กับกองหินยักษ์ สโตนเฮนจ์ ในอังกฤษ หรือโบราณสถานทั้งสองที่มีความเกี่ยวพันกันทั้งที่อยู่กันคนละทวีปครับ?

กัวเตมาลา : ที่นี่เป็นชุมชนโบราณของชาวมายาที่ชื่อว่า El Miradors ซึ่งเต็มไปด้วยปิระมิดสไตล์มายามากมาย ในจำนวนนี้มีปิระมิดที่ใหญ่ที่สุดชื่อ Trige pyramid รวมอยู่ด้วยครับ

เปรู : วิหารแห่งพระอาทิตย์ของชาวโมเช่ (Moche) สิ่งมหัศจรรย์อีกอย่างในวงการโบราณคดี เพราะสร้างจากอิฐดินเผานับสิบๆล้านก้อน และในเปรุอีกเช่นกัน บริเวณที่เรียกกันว่า Huaca del Sol ในหุบเขาโมเช่ มีปิระมิดทรงสูงสร้างจากอิฐดินเผา ด้านหน้าของปิระมิดมีวิหารที่ชื่อ Huaca del luna วิหารที่ใช้บวงสรวงพระเจ้า ซึ่งตำนานของคนพื้นเมืองกล่าวว่านั่งเรือสีทองลงมาจากท้องฟ้า






ซิกกูรัตแห่งนคร Ur อันเลื่องลือ




โบลิเวีย : Akapana ซึ่งเป็น Platform-Pyramid ในเมืองเทียฮัวนาโค นักโบราณคดีคะเนอายุของมันเอาไว้ว่าสร้างขึ้นเมื่อ 1580 B.C. สถาปัตยกรรมของปิระมิดนี้นับว่าคล้ายคลึงกับที่ยิปต์อย่างน่าประหลาด

ชวา : Cani Sukuh Pyramid ที่อยู่ใกล้ๆเมืองไทยของเรานี่เอง นักโบราณคดีกล่าวว่า มันน่าประหลาดที่ปิระมิดในชวากลับไปมีลักษณะการออกแบบคล้ายกับปิระมิดใน อเมริกาใต้ ใครครับ? ใครกันที่หอบเอาสถาปัตยกรรมแบบอินคาข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงอินโดนีเซียเพื่อน บ้านของเรา


หมู่เกาะริวกิว: เคยเล่าไปแล้วในตอนโบราณสถานใต้น้ำแห่งโยนากุนิ (อยากอ่านวีรกรรมและการค้นพบของนายอาราทาเกะ นักประดาน้ำชาวญี่ปุ่นก็คลิก ที่นี่ ได้ เลยครับสำหรับผู้ยังไม่เคยอ่าน) ปัจจุบันยังถกเถียงกันอยู่ว่า แนวกำแพงซึ่งอยู่ใต้น้ำและแผ่นหินที่คล้ายกับปิระมิดมากๆนั้น เกิดขึ้นโดยฝีมือของธรรมชาติหรือว่าเป็น man-made (ดูจากรูปแล้วตัดสินเอานะครับ) อ้อ อายุอานามของมันก็ราวๆ แปดพันปีก่อน ค.ศ. หรือหมื่นกว่าปีก่อนนู้น... ตรงกับยุคแอตแลนติสเลยเนอะ

จีน: ปิระมิดขาว (The White Pyramid) แห่งเมืองซีอาน ซึ่งนักสำรวจชาวเยอรมันนาม ฮาร์ทวิก ฮาวดอร์ฟ ได้เขียนในหนังสือเกี่ยวกับปิระมิดในแผ่นดินจีนของ เขาว่า มีปิระมิดดินเหนียวในลักษณะเดียวกันนับพันๆลูก กระจัดกระจายอยู่ทั่วแผ่นดินมังกรอันไพศาล เสียดายที่ไม่มีนักสำรวจชาวตะวันตกหน้าไหนเข้าไปศึกษาอย่างใกล้ชิดได้ ก็แหงสิครับ อยู่หลังม่านไม้ไผ่ออกขนาดนั้น ปิระมิดขาวมีความสูงประมาณ 200 ฟุต ตั้งอยุ่บริเวณใกล้เคียงกับสุสานของฉินสื่อหวง หรือจิ๋นซีฮ่องเต้นั่นเอง

โพลีนีเซีย: "Modest Pyramid" ในตองกาบู วิหารทรงปิระมิดในตาฮิติ และแลงกีปิระมิดในตัวฮาลา

กรีซ: ปิระมิดแห่งเฮลลินิกอนใกล้ๆกับอาร์กอส เป็นปิระมิดเล็กๆที่ยังสร้างไม่เสร็จ จากการศึกษาของนักโบราณคดีพบว่า การก่อสร้างดังกล่าวขาดการต่อเติมยอดขึ้นไปอีกประมาณ 10 ฟุต ปิระมิดนี้จึงจะเสร็จสมบูรณ์ อะไรกันหนอที่ทำให้คนโบราณเหล่านี้ละทิ้งงานไปเสียกลางครัน และที่สำคัญพวกเขาเป็นใครกันครับ เนื่องจากอายุอานามของปิระมิดที่อาร์กอสนั้น มันเก่ากว่ามหาปิระมิดที่อียิปต์เสียอีก






ปิระมิดใต้น้ำที่โยนากุนิ




หมู่เกาะคานารี: ปิระมิดแห่งกุยมาร์ ที่ซึ่งนักสำรวจชื่อ ธอร์ เฮเยอร์ดาห์ล ได้ให้ข้อสังเกตไว้ว่า "มันเป็น step pyramid ที่มีสถาปัตยกรรมคล้ายกับปิระมิดของคนโบรารในเปรูและโบลิเวียอย่างที่สุด ทั้งที่หมู่เกาะเหล่านี้ไม่น่าจะรับอิทธิพลเหล่านั้นมาได้ เนื่องจากอยู่คนละซีกโลกกัน แถมสภาพภูมิศาสตร์ที่โดนตัดขาดจากโลกภายนอกยังมาเป็นตัวคั่นอีกต่างหาก"

สหรัฐอเมริกา: ปิระมิดโบราณแห่งคาโฮเกีย รัฐอิลลินอย เป็นปิระมิดทำมาจากดินเหนียว ซึ่งคาดว่ายังมีปิระมิดลักษณะนี้ตกค้างหลงสำรวจในดินแดนมะริกันอีกเป็นจำนวน มาก

ฟู่... เหนื่อย นี่ยังไม่หมดหรือถึงครึ่งเลยนะครับ ยกมาแค่ตัวอย่างที่เห็นกันชัดเจนเท่านั้น แต่แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วล่ะครับที่จะชี้ว่า โลกของเรานี้เต็มไปด้วยปิระมิดที่ถูกสรางขึ้นมาโดยคนโบราณ ทำไมต้องเป็นปิระมิด? และพวกเขาสร้างปิระมิดขึ้นมาด้วยจุดประสงค์อะไร นั่นยังเป็นคำถามที่ค้างคาใจนักโบราณคดี และหาคำที่เหมาะสมร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ได้มาจนถึงปัจจุบัน

จิ๊ก ซอชิ้นเล็กๆที่จะนำมาประกอบเป็นภาพรวมเพื่อไขปริศนาของเราในวันนี้ มีคีย์สำคัญอยู่ที่"พระเจ้า"ครับ พระเจ้าของคนโบราณที่สั่งให้มีการสร้างปิระมิดเหล่านี้ขึ้นมา และบางครั้ง บันทึกเรื่องราวของคนโบราณก็บอกเอาไว้อย่างชัดเจนว่า "พระเจ้า"บางองค์ได้เสด็จลงมาควบคุมและสั่งการก่อสร้างด้วยตนเอง






ดูขนาดอันมโหฬารของมันสิครับ แถมไปสร้างบนเขาสูงด้วย ทำได้ไงกันเนี่ย...




เคยได้ยินชื่อของ Gudea ไหมครับ? Gudea คือผู้สร้างซิกกูรัตแห่งลากาซ (น่าสังเกตว่าบทบาทของเทพองค์นี้คล้ายคลึงกับเทพบางองค์ในหลายๆอารยธรรม อาทิเช่น Kothar-Hasis แห่งบาบิโลน, เฮเฟตัสหรือวัลแคนของกรีกและโรมันโบราณ, ส่วนในอียิปต์นั้น บทบาทนี้ตกเป็นของเทพเจ้าธ็อธบิดาแห่งความรู้และวิทยาศาสตร์ ) ว่ากันว่า Gudea ถูกยกย่องให้ขึ้นเป็นเทพในภายหลัง เขาออกแบบซิกกูรัตหลายแห่งในตะวันออกกลางภายใต้การชี้นำของพระเจ้าหรือ Annunnaki


Zecharia Sitchin เจ้าของเรื่อง 12th Planet อันลือเลื่องให้ข้อสังเกตว่า มีความเกี่ยวเนื่องบางประการระหว่างปิระมิดทั้งสามแห่งอียิปต์และปิระมิด แห่งพระอาทิตย์ในทิโอติฮัวกันว่า มันตั้งอยู่ ณ 43.5 องศาเหมือนกัน แถมมีลักษณะการก่อสร้างคล้ายกันอย่างนะประหลาดทั้งขนาดและความสูง เชื่อไหมครับว่า ปิระมิดที่เกี่ยวข้องกับตำนานพระเจ้าจากอวกาศนั้น มีความเหมือนกันอย่างอย่างน่าทึ่งมากๆ ปิระมิดเหล่านี้ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นสุสานของกษัตริย์ และก็ไม่ใช่ศาสนสถานที่ใครๆจะพากันเข้านอกออกในได้อย่างอิสระ ไอ้ใช้ประกอบพิธีกรรมน่ะก็มีแหละครับ แต่เฉพาะในเวลาที่พระเจ้าเสด็จลงมาเยี่ยมเยือนเท่านั้น ในเวลาปกติปิระมิดเหล่านี้คือสถานที่ต้องห้าม เป็นดินแดนศักดิสิทธิ์ที่ไม่อนุญาตให้คนทั่วไปย่างกรายผ่านอย่างเด็ดขาด


:: หรือว่ามันคือ... ลานจอดอากาศยาน... ::

ครับ! จั่วหัวเอาไว้แบบนี้หลายท่านก็คงทราบแล้วว่าต่อไปผมจะพูดถึงเรื่องอะไร ขอให้นึกภาพในยุคปัจจุบันตามผมไปก่อนนะครับ ลองนึกถึงตึกระฟ้าใหญ่ๆที่มีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ดูนะครับ ไม่แปลกใช่ไหมที่ไหนก็มีกันถ้วนหน้า ไม่เพียงแต่จะใช้จอด ฮ. เท่านั้นนะครับ เครื่องบินที่ขึ้นลงตามแนวดิ่งเช่นแฮร์ริเออร์ของนาโต้ ก็อาศัยที่จอดเหล่านี้ได้เช่นกัน

แล้วสมัยโบราณยุคเดียวกับที่สร้างปิระมิดกันนั้น เค้ามีเครื่องบินใช้กันแล้วเรอะ? อืมห์... จะว่าไงดีล่ะ ลองหาบทความเรื่องวิมานะ หรือ นักบินอวกาศยุคโบราณ ซึ่งผมเคยนำมาลงแล้วก่อนหน้านี้อ่านกันดูนะครับ เผื่อจะเห็นภาพอะไรชัดเจนขึ้น

มา ถึงตอนนี้ก็น่าจะอนุมานกันได้บ้างแหละน่า ว่าปิระมิดใหญ่ๆในสมัยโบรารนั้น จุดประสงค์ในการสร้าง ก็คงเพื่อเป็นลาดลงจอดหรือจุด landing ให้กับพระเจ้าจากอวกาศนั่นเอง เอาอะไรมาพูดหรือครับ? ลองดูลักษณะของปิระมิดโบราณดีๆนะครับ มันมีพื้นที่หน้าตัดอยู่ด้วยตรงยอด มันชวนให้คิดไหมล่ะว่า ลักษณะช่างไปคล้ายคลึงกับลานจอด ฮ. บนตึกระฟ้าเป็นที่สุด อีกประการ ความแข็งแกร่งของฐานปิระมิดพวกนี้ทำให้มั่นใจได้เลยครับว่า สามารถรองรับการลงจอดของเครื่องขึ้นลงแนวดิ่งได้ทุกประเภท แม้แต่เครื่องบินในปัจจุบันที่เป็นเครื่องบินประเภทเบา เข้าท่าใช่ไหมล่ะครับไอเดียนี้ แถมปิระมิดเหล่านี้ส่วนใหญ่ยังไปสร้างกันไว้ในที่สูงๆ ทั้งนี้อาจจะเพื่อให้ง่ายต่อการสังเกตจากทางอากาศก็ได้


แค่ลานจอด ฮ. ถึงกับต้องลงทุนสร้างปิระมิดเลยเรอะ?

ก็ คงงั้นมั้งครับ อย่าลืมสิว่า ปัญหาประการหนึ่งของเครื่องขึ้นลงแนวดิ่งก็คือ ฝุ่นและดินครับปลิวฟุ้งไปเลยแน่ๆ แถมลงจอดในที่ชุมชนแล้วด้วยนะ อะไรๆมันจะปลิวไปกับแรงลมบ้างก็ไม่รู้ แถมน้ำหนักเครื่องก็อาจทำให้ดินยุบได้หากไม่มีการทำฐานที่ดี ที่หนักที่สุดก็คือ หากอากาศยานของพระเจ้าดันขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนตร์ที่ปนเปื้อนรังสีเข้า การไปจอดในที่ชุมชนคงไม่โสภาเท่าไหร่แน่ๆ

...เพราะงั้นล่ะมั้ง ในตอนแรกๆของไบเบิลจึงกล่าวถึงบทบาทของยะโฮวาและเอโลฮิมว่า เวลาที่พระเจ้าเหล่านี้จะเสด็จลงมายังโลกเพื่อพบมนุษย์แต่ละครั้ง มักจะเสด็จลงมาบริเวณที่เป็นภูเขาสูงหรือมีหินใหญ่กำบังอยู่เป็นอันดับแรก เพื่อป้องกันรังสีหรือ? (โปรดอ่านไบเบิ้ลกับพระเจ้าจากอวกาศประกอบด้วยนะคร๊าบ)


:: หลุมหลบภัยมากกว่าล่ะมั้ง? ::


ย้อนกลับมาดูที่อียิปต์ ปิระมิดจำนวนมากที่เข้าใจว่าสร้างเพื่อเก็บพระศพของฟาโรห์นั้น จริงๆแล้วกลับไม่ใช่เสียแล้วสิครับ ปิระมิดหลายลูกเต็มไปด้วยห้องลับมากมาย ที่นักโบราณคดีขบไม่แตกว่าจะสร้างขึ้นมาทำพระแสงของ้าวอะไรกัน ตัวอย่างเช่น ห้องที่เรียกกันว่า Queen Chamber และห้องลับใต้ดินในปิระมิดของสเนเฟรูครับ แต่ก็แปลกนะครับ ที่ห้องที่นักโบราณคดีว่ากันว่าเป็นห้องเก็บพระศพนั้น ทำไม๊ทำไมการออกแบบถึงได้ไปคล้ายคลึงกับหลุมหลบภัยในสมัยปัจจุบันนัก

ปิ ระมิดเก่าๆในยุคต้นเช่น ปิระมิดแห่งไมซีรินุส, ยูนาส, เทตี ต่างก็มีห้องใต้ดินครบครัน ไม่มีหลักฐานใดๆที่ระบุว่าปิระมิดเหล่านี้สร้างขึ้นเพื่อเก็บพระศพของบรรดา คนในราชวงศ์ แต่ละที่ก็ล้วนมีอุโมงค์ใต้ดินที่ขุดลึกลงไปชนิดลึกมากๆ คนโบราณเค้าขุดกันลงไปทำไมครับ ขุดไว้หลบระเบิดนิวเคลียร์เรอะ?

"...ก็อาจเป็นไปได้นา"

ไม่ใช่คำพูดนายโซนิคนะครับ ^^! อันนี้มาจากคำกล่าวของนักวิทยาศาสตร์บางท่าน ที่ทำการศึกษาสถาปัตยกรรมและบริเวณรายรอบของปิระมิดเหล่านั้นอย่างลึกซึ้ง น่าแปลกตรงที่ว่าปิระมิดที่กล่าวมาถูกออกแบบราวกับหลุมหลบภัยในสมัยใหม่ แถมเป็นหลุมหลบภัยชั้นดีเมื่อเกิดสงครามนิวเคลียร์ด้วยครับ เนื่องจากทางเดียวที่จะรอดพ้นจากรังสีและพิษร้ายของนิวเคลียร์บอมบ์ได้ ก็คือการลงไปอยู่ใต้ดิน (ว่างๆลองหาหนังสือหรือบทความว่าด้วยเรื่องของระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมาและนา งาซากิมาอ่านเล่นกันนะครับ ลักษณะของความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น มีแต่อยู่ใต้ดินหรือศูนย์กลางแรงระเบิดนั่นแหละ ถึงจะได้รับผลกระทบน้อยที่สุด - - ระเบิดปรมาณูส่วนใหญ่ระเบิดกลางอากาศสูงเหนือพื้นดินขึ้นไปนะครับ อย่าลืมเสีย) ดูเหมือนเป็นสิ่งก่อสร้างแบบโบราณๆ แต่ความหนาจากอิฐและดินนี่แหละครับ ที่ช่วยป้องกันแรงทะลุทะลวงของรังสีแกมมาจากนิวเคลียร์บอมบ์ได้เปHนอย่างดี

...สำหรับเรื่องการใช้นิวเคลียร์เป็นอาวุธสงครามนั้น ผมจะกล่าวถึงในตอนต่อๆไปของชุดนี้ครับ






ส่วนนี่คือปิระมิดที่พบแถบหมุ่เกาะในแปซิฟิคครับ...




มาดูกันหน่อยครับ กับข้อมูลที่นักเขียนชื่อ Mark และ Richard Wells ได้เขียนเอาไว้ พวกเขากล่าวว่า ตำแหน่งที่ตั้งของปิระมิดกับตำแหน่งดาวบนท้องฟ้าดูจะมีความสัมพันธ์กันเป็น พิเศษ โดยเฉพาะกับกลุ่มดาวนายพรานหรือ Orion's belt ครับ... ทฤษฎีนี้ไม่น่าประหลาดเพราะรู้กันมานานแล้ว ในเว็บของผมก็เพิ่งเอาบทความที่ได้จากน้องโอลงไปแหม่บๆ แต่ทราบไหมครับว่า นอกจากปิระมิดทั้งสามที่กีซาแล้ว ปิระมิดที่เมืองซีอานในจีน และที่ทิโอติฮัวกันในเม็กซิโกนั้นห็มีลักษณะคล้ายกันไม่มีผิด มันบังเอิญเกินไปไหมจ๊ะแฟนๆจ๋า?


:: สรุป ::

เรื่องของเราในวันนี้พูดกันถึงแต่ปิระมิดเพียวๆ ที่สูงตั้งแต่ 40-400 ฟุต ฐานมีขนาดตั้งแต่ 100-2300 ฟุต ภายในมีอุโมงค์และห้องลับที่ขุดลึกลงถึงชั้นใต้ดิน สถาปัตยกรรมเชิงโครงสร้างเป็บแบบขั้นบันไดบ้าง ผนังเรียบบ้าง วัสดุในการก่อสร้างส่วนมากจะหาได้ในท้องถิ่น ซึ่งก็มีทั้งหินก้อนมหึมาที่เอามาตัด อิฐดินเผา อิฐดินเหนียว และบนยอดของปิระมิดส่วนมากมีลักษณะเป็นหน้าตัด บางแห่งมีวิหารเล็กๆประดับอยู่ด้านบนเสียด้วย สำหรับจุดประสงค์ในการสร้างนั้น ผมคงสรุปไม่ได้ 100 เปอร์เซ็นต์หรอกนะครับว่าสร้างขึ้นเพื่ออะไรกันแน่ ก็ผมเกิดไม่ทันยุคนั้นนี่นะ^^! จึงได้แต่อ้างข้อสันนิษฐานของชาวบ้านมาอีกต่อหนึ่งว่า ปิระมิดหลากขนาดหลายไสตล์ที่ระจัดกระจายกันอยู่ทั่วทุกมุมโลกนั้น วัตถุประสงค์ในการสร้างน่าจะประกอบด้วย เพื่อเป็นจุดชี้พิกัดจากทางอากาศ, หลุมหลบภัย, ลานจอดอากาศยานที่ขึ้นลงแนวดิ่ง, รวมไปถึงเป็นสถานที่ประกอบพิะกรรมอันศักดิ์สิทธิ์เพื่อบวงสรวงพระเจ้าจาก อวกาศ...

...และทั้งหมดทั้งเพนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้น ในยุคสมัยอันไกลโพ้นที่มนุษย์และพระเจ้าอาศัยอยู่ร่วมกัน