วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

The 12th Planet - ตอนที่ 2















The 12th Planet - ตอนที่ 2
Chapter Four: Sumer... Land of The Gods
Anu ผู้นำแห่งตระกูลเทพ

ผู้นำทวยเทพแห่งสวรรค์และโลกของชาวสุเมเรียนมีนามว่า An (หรือ Anu -- อ่านว่าอานู หรือ อนู ในวรรณคดีของบาบิโลเนียนกับอัสสิเรียน) ทรงได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งเทพทั้งปวง มีอาณาจักรอันไพศาลอยู่บนสรวงสวรรค์และมีรูปดวงดาวเป็นสัญลักษ์ประจำองค์ เรื่องน่าปวดหัวสำหรับนักโบราณคดีคือสัญลักษณ์ของ An ในงานเขียนของชาวสุเมเรียนเป็นตัวแทนของทั้งสวรรค์ สิ่งมีชีวิตที่อยู่บนนั้น หรือแม้กระทั่งเหล่าเทพเล็กเทพน้อยที่เป็นทายาทของ An เองก็ตาม สัญลักษ์ที่แสดงความหมายสี่ประการนี้ถูกใช้โดยคนโบราณในยุคต่อมาด้วยเช่นกันครับ กล่าวคือจากตำนานที่เล่ากันแบบปากเปล่าไปสู่อักษรภาพ สู่อักขระคิวนิฟอร์ม สู่ภาษาบาบิโลเนียนและอัสสิเรียนตามลำดับ จึงทำให้การถอดความในภายหลังเป็นไปอย่างยากลำบาก เพราะหากบริบทไม่ละเอียดพอ นักโบราณคดีก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตกลงอนูที่กล่าวเอาไว้นั้น หมายถึงอะไรกันแน่ในสี่อย่างนี้














สำหรับชาวตะวันออกโดยเฉพาะชาวไทยอย่างพวกเรา สวรรค์หรือนรกเป็นสถานที่ที่มนุษย์สามัญมิอาจเดินทางถึงนอกเสียจากดวงจิตละสังขารไปแล้ว มนุษย์ธรรมดาจะไปที่นั่นได้ก็ต่อเมื่อตายไปแล้ว แต่พระอริยบุคคลหรือผู้มีฌาณสมาบัติสูงสามารถแวะเวียนไปเป็นครั้งคราวได้ด้วยการถอดจิตสำหรับชาวสุเมเรียนไม่เป็นเช่นนั้นครับ พวกเขาเชื่อว่าหากได้รับความกรุณาจากเทพเจ้า พวกเขาก็สามารถขึ้นสวรรค์ทั้งเป็นได้เช่นกัน ความเชื่อนี้ยืนยันกับเราได้ประการหนึ่งคือ สวรรค์ในความหมายของชาวสุเมเรียนไม่ใช่เรื่องของภพหน้าหรือโลกหลังความตาย แต่เป็นสถานที่บางแห่งซึ่งอยู่เหนือท้องฟ้าขึ้นไป ในพระคัมภีร์ไบเบิลฉบับพันธสัญญาเก่ามีเรื่องทำนองนี้อยู่เหมือนกันครับ ว่าด้วยการส่งยานพาหนะลงมารับผู้มีคุณสมบัติขึ้นไปบนสวรรค์ เรื่องใน The Book of Enoch (คัมภีร์แห่งเอนอช) กับศาสดาพยากรณ์ Elijah(เอไลจาห์) ดูจะเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด (และเป็นของหวานชิ้นโตที่สุดสำหรับนักล่าเอเลี่ยนในพระคัมภีร์อย่างผมเสียด้วยสิ ^^)..

มหาเทพ Anu ทรงมีชายานามว่า ANTU อันหมายถึงพระมารดรจารึกที่ค้นพบที่ Uruk ให้ความกระจ่างแก่นักโบราณคดีที่สุดเกี่ยวกับเรื่องการมาเยือนโลกของ Anu และพระชายา น่าเสียดายที่กาลเวลาทำเอาแผ่นจารึกเจ้ากรรมชำรุดไปเยอะมาก เราจึงอ่านรายละเอียดของมันได้จากช่วงกลางแผ่นเป็นต้นไปเท่านั้น แต่นักโบราณคดีก็ได้อะไรเยอะครับจากจารึกนี้ อย่างน้อยก็ได้รู้แหละว่าพิธีสมรสในปัจจุบันและการสวมมงกุฏเพื่อขึ้นครองราชย์มาจากความเชื่อของชาวสุเมเรียนนี่เองตามธรรมเนียมสุเมเรียน ผู้ครองบัลลังก์จะได้รับโองการจากบิดรเทพ Anu พวกเขามีคำที่มีความหมายเดียวกับราชบัลลังก์คือคำว่า Anutu สัญลักษณ์สามอย่างของ Anu หรืออีกนัยหนึ่งองค์ราชาประกอบไปด้วย มงกุฏศักดิ์สิทธิ์, คฑาสำหรับแสดงราชฐานะ และไม้เท้าพระธรรมเห็นไหมครับว่าสัญลักษณ์เหล่านี้ถูกสืบทอดมายังอารยธรรมของชนรุ่นหลังอย่างไม่ตกหล่น ที่เพี้ยนไปบ้างคือไม้เท้า เพราะตั้งแต่คริสตศาสนารุ่งเรือง ไม้เท้าพระธรรมนี้ดูจะเป็นสัญลักษณ์แทนตัวของบิชอปมากกว่าพระราชา แต่มงกุฏนี่คงไม่มีใครเถียง ว่ามันคือสัญลักษณ์ประจำตนของบุรุษหมายเลขหนึ่งแห่งแผ่นดินทุกแผ่นดินที่มีราชบัลลังก

EN.LIL.... Second most Powerful God
โอรสองค์โตของ Anu ชื่อของ Enlil (เอนลิล) มีความหมายเป็นภาษาอังกฤษว่า Lord of the Airspace หรือเจ้าแห่งนาวากาศ เทพองค์นี้เกิดในวังของบิดาซึ่งอยู่บนสวรรค์ และเดินทางมายังโลกมนุษย์ด้วยเหตุผลบางประการ Enlil ทำหน้าที่ทุกอย่างแทนบิดาในเวลาต่อมาโดยเฉพาะเมื่อเทพทั้งหลายมีอันต้องหารือกัน เหล่าเทพเจ้าจะมาประชุมกันที่สภาของ Enlil ซึ่งอยู่ที่เมือง Nippur (นิปเปอร์) เมืองโบราณของสุเมเรียนที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่เทพเจ้าองค์นี้ เมื่อเทพเจ้ามากันครบองค์ประชุม พวกเขาจะเริ่มปรึกษาภารกิจในวิหารที่ชื่อว่า E.KUR อันมีความหมายว่า house which like a moutain หรือเคหาสน์คล้ายภูผา









ฉายา The God of airspace หรือ God of Rocket ไม่ได้แปลมาอย่างลอยๆ ลองเปรียบเทียบจรวดยุคปัจจุบันกับจรวดของชาวสุเมเรียนดูสิครับ :
Enlil เป็นที่นับถือของทั้งมนุษย์และเทพเจ้า ทรงมีอำนาจอย่างล้นเหลือทั้งบนสวรรค์และในโลกมนุษย์ บนสวรรค์ Enlil มีฐานะเป็นเจ้าชายองค์หนึ่ง แต่บนโลกมนุษย์ชาวสุเมเรียนถือว่า Enlil คือผู้นำในทุกสรรพสิ่งเลยทีเดียว ตำนานกล่าวว่า Enlil เสด็จมายังโลกตั้งแต่โลกยังว่างเปล่าไร้ซึ่งอารยธรรมใดๆจารึกสุเมเรียนตอนหนึ่งกล่าวว่า Enlil ทรงมายังโลกก่อนหน้าที่ Black-Headed-People (คนผมดำ เป็นคำที่ใช้เรียกเผ่าพันธุ์มนุษย์ของชาวสุเมเรียน)

คนใดถูกสร้างจะขึ้น ในช่วงเวลานั้น Enlil สถาปนานคร Nippur (นิปเปอร์) เป็นกองบัญชาการส่วนพระองค์ จุดมุ่งหมายของการสร้างนครนี้คือใช้เพื่อเชื่อมสวรรค์และโลกเข้าด้วยกันด้วยพันธะบางอย่าง พวกเขาเรียกมันว่า DUR.AN.KI - ดูรอันกี (bound heaven-earth - พันธะแห่งฟ้าดิน) แหม... ฟังแล้วเหมือนทวารข้ามดวงดาวในเรื่อง Star Gate จังเลยนะครับเหล่าเทพในสังกัดของ Enlil ทำงานกันอย่างขันแข็งรวมถึงตัวขององค์ Enlil เอง พระองค์พบรักกับกับเทวนารีนาม SUD (ซูด แปลว่า the nurse) และมีธิดานาม NIN.LIL - นินลิล (lady of the airspace - พระนางแห่งเวิ้งฟ้า) ในเวลาต่อมา










Enlil ทรงกลายเป็นผู้นำของเหล่าเทพ สร้างความรุ่งเรืองให้กับดินแดนซูเมอร์ ทรงสร้างและปกครองเหล่า Black-headed-people จนได้รับสมญาว่า Lord of the Land ตำนานสุเมเรียนกล่าวถึงภาระกิจของเทพองค์นี้ไว้มากมาย จุดที่น่าสนใจคืออภินิหารแปลกๆที่กล่าวถึงในจารึกโบราณนั้นครับ อ่านแล้วแทนที่จะนึกว่าอ่านตำนานโบราณกลับนึกถึงนิยายวิทยาศาสตร์ไปเสียนี่ ลองมาดูตัวอย่างกัน

Enlil เป็นทายาทโดยชอบธรรมของ Anu เทพโบราณผู้ยิ่งใหญ่
เป็นผู้นำและบริหารสภาเทพแห่งสวรรค์ มีองค์ประชุมมีการบบริหารการตัดสินใจ ไม่ใช่เผด็จการ
ถึงกระนั้น Enlil ก็ยังมีฤทธานุภาพอันน่าครั่นคร้ามไม่ว่ากับเทพหรือมนุษย์
ทรงถ่ายทอดคำสั่งแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาได้จากระยะไกลโพ้น ข้ามน้ำ ข้ามทะเล ข้ามอากาศ
ทรงสร้างพันธะเชื่อมโยงสวรรค์กับโลกเข้าด้วยกันที่เมือง Nippur
มีดวงตาแห่งแสงที่สามารถแลเห็นการเคลื่อนไหวได้ทั้งแผ่นดิน

อ่านแล้วนึกถึงอะไรกันบ้างครับ อ้อ... ยังไม่ต้องตอบผมตอนนี้ก็ได้Enlil รับบทคล้ายเอโลฮิมในบทเยเนซิสของคัมภีร์ไบเบิล กล่าวคือเป็นเทพอมตะผู้ปกครองสวรรค์และโลก ทรงจัดระเบียบสังคมได้ดีเสียจนรัฐมนตรีบางกระทรวงของบ้านเราควรไปขอคำปรึกษา ทว่าระเบียบดังกล่าวกลับธำรงอยู่ได้ไม่นานนัก เพราะในกาลต่อมาเกิดสงครามชิงอำนาจระหว่างบุตรของ Enlil ขึ้น เป็นสงครามเทพเจ้าที่สนุกสนานมากๆครับ สมรภูมิของทั้งสองฝ่ายไม่ได้จำกัดอยู่แต่ในดินแดน Sumer เท่านั้น แต่ลามไปถึงทวีปแอฟริกา เอเชีย ไปจนกระทั่งถึงดาวอังคาร! (ถ้าบันทึกโบราณไม่ได้โกหกเรา)
ยังผลให้อารยธรรมแห่งเทพถึงกาลเสื่อมลงนับตั้งแต่บัดนั้น...

Chapter Four: Sumer... Land of The Gods

EN.KI เทพผู้มีดวงเนตรอันเจิดจ้าEnki เป็นบุตรอีกคนของ Anu ทรงถูกเรียกขานด้วยสองนามอันได้แก่ E.A และ EN.KI (อีเอและเอนคี)ทรงเป็นเทพที่เสด็จลงมาจากท้องฟ้าเช่นเดียวกับ Enlil ผู้เชษฐาE.A (แปลว่าผู้อาศัยอยู่ในน้ำ หน้าตาสุดหล่ออย่างรูปด้านล่าง ^^)

มีความสามารถด้านวิศวกรรมที่ยิ่งใหญ่ เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในการวางผังขุดคลอง การทำชลประทานจากแม่น้ำหรือการระบายน้ำออกจากพิ้นที่ที่เป็นบึง โปรดการสัญจรทางน้ำเป็นที่สุด Ea สร้างเมืองขึ้นบริเวณบึงใหญ่โดยตั้งชื่อว่า HA.A.KI (ถิ่นฐานแห่งมัจฉา) แต่คนรุ่นหลังรู้จักเมืองแห่งนั้นในนามของ E.RI.DU (เอริดู - home of going afar - บ้านที่ต้องจากไกล)มากกว่าครับ




















จารึกสุเมเรียนรุ่นแรกๆเขียนถึง E.A. ด้วยสัญลักษณ์ของปลากับท้องทะเล บางครั้งมีดวงจันทร์พ่วงเข้ามาด้วย ซึ่งก็ไม่แปลกอะไรเพราะคนโบราณทราบกันดีถึงอิทธิพลของดวงจันทร์ที่มีต่อระดับน้ำทะเล ส่วนฉายาเทพผู้มีดวงเนตรเจิดจ้านั้นได้มาจากคำว่า NIN.IGI.KU อันแปลว่าเทพผู้มีดวงตาเจิดจ้าในภาษาสุเมเรียนแผนพัฒนาดินแดนเป็นไปอย่างรุดหน้า เทพเจ้าร่วมกันแปรสภาพภูมิประเทศที่เป็นทะเลและแม่น้ำให้เป็นพื้นที่ที่เหมาะต่อการอยู่อาศัย E.A. ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำในแผนพัฒนาที่พาเหล่าประชากร

"...จับคราดและคันไถ ขุดร่องดินอันศักดิ์สิทธิ์ ทำกสิกรรม ริเริ่มการค้าขาย พัฒนาด้านการปศุสัตว์..."

ข้อความเหล่านี้เอามาจากส่วนหนึ่งของเอกสารโบราณชื่อ Enki and the World Order นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาศิลปกรรมบนแผ่นอิฐเผา การก่อร่างสร้างเมืองและการแปรโลหะอีกด้วยเรื่องการสร้างโลกของเทพมีอยู่ในทุกอารยธรรมโบราณ แต่ของชาวสุเมเรียนนี่น่าประทับใจเป็นพิเศษครับ เพราะบทบาทของเทพที่กล่าวถึงในจารึกโบราณนั้นกล่าวถึงการอยู่ร่วมกันระหว่างเทพและมนุษย์ ทรงเป็นผู้นำของสังคม เป็นตัวแทนของเทพบนสวรรค์ลงมาชี้นำชาวโลก เรียกว่าเล่นบทเหมือนมิชชันนารีในสมัยศตวรรษที่ 18-20 เลยทีเดียว

บทบาทของเทพเจ้าสุเมเรียนนี้ยังถ่ายทอดมาสู่คัมภีร์ไบเบิลในภายหลัง ตอนนี้นักโบราณคดีส่วนใหญ่เริ่มยอมรับแล้วครับว่าเนื้อหาของไบเบิลส่วนหนึ่งมาจากตำนานของชาวสุเมเรียน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือเรื่องของโนอาห์กับน้ำท่วมโลกนี่แหละชาวสุเมเรียนกับอัคเคเดียนมีความเชื่อแบบเดียวกับคัมภีร์พันธสัญญาเก่าว่า พระเจ้าสร้างมนุษย์ให้มีลักษณะเหมือนพระเจ้าทั้งด้านกายภาพและอุปนิสัย จารึกของชาวสุเมเรียนกล่าวถึงหลักและกระบวนการสร้างมนุษย์ไว้อย่างละเอียด โดยมี E.A. ผู้ทรงความรู้คอยชี้นำให้กับ Adapa(หมายถึงมนุษย์)
ผลผลิตของความรู้จากเทพ E.A. สิ่งเดียวที่ทำให้มนุษย์ต่างไปจากพระเจ้าคือชีวิตอันอมตะ ซึ่งสภาเทพแห่งสวรรค์เป็นผู้ลงมติว่ามนุษย์ไม่ควรได้รับสิทธิ์นี้E.A. หรือ Enki ถึงกับขัดแย้งกับสภาเทพด้วยเรื่องของมนุษย์ เทพองค์นี้เข้าข้างมนุษย์อยู่ตลอดเวลา เหตุผลแรกมองเห็นค่อนข้างชัดเจนครับ เพราะมนุษย์คือผลผลิตที่ Ea มีส่วนร่วมในการสร้างขึ้น ส่วนเหตุผลแฝงเร้นนั้นอยู่ที่เรื่องของอำนาจในหมู่เทพ ว่ากันว่า Ea ทำเช่นนี้เพื่อถ่วงดุลอำนาจกับพี่น้องร่วมบิดาของตน Enlilตามบันทึกกล่าวไว้ว่า Enlil มีสิทธิ์ในการสืบทอดอำนาจจาก Anu อย่างชอบธรรม ถ้าพูดอย่างไบเบิลก็ต้องกล่าวว่ามีสิทธิ์ในการเป็นลูกหัวปี ทว่า Enki เองก็เคยรำพันเอาไว้ในทำนองว่า
"เราคือเมล็ดพันธุ์อันสมบูรณ์กว่า เราคือบุตรหัวปีของ Anu"
คำพูดประโยคนี้น่าคิดนะครับ เป็นไปได้ไหมว่า Enki เกิดก่อน Enlil แต่ว่าเป็นบุตรที่เกิดจาก Anu กับเทพธิดาองค์อื่นซึ่งไม่ใช่ชายาตามกฏหมาย Enki จึงพลาดสิทธิ์ของการเป็นรัชทายาทของเทพบิดร Anu ไป













เทพ Ninurta และจารึกว่าด้วยวีรกรรมแห่งเทพเจ้าของชาวสุเมเรียนอย่างรู้ฐานะตน Enki ยอมรับ Enlil ในเรื่องสิทธิ์แห่งรัชทายาท ยอมทำงานร่วมในสภาเทพอย่างไม่มีข้อขัดแย้ง ด้วยความที่เทพทั้งสองเป็นเทพที่ปราดเปรื่อง มีฤิทธานุภาพทัดเทียมกัน เทพหลายองค์ในสภาได้แต่หวั่นอยู่ในใจว่าภัยซ่อนเร้นของสภาเทพสุเมเรียนอาจกำลังเกิดขึ้น แล้วก็จริงเสียด้วยครับ เพราะสงครามอันเนื่องมาจากกองทัพโคลนจู่โจมได้เกิดขึ้นบนโลกในเวลาต่อมายังกะ Star Wars เด๊ะเลย เดี๋ยวผมค่อยเล่าในบทต่อๆไปนะครับEnki เก็บความเจ็บช้ำใจเอาไว้เงียบๆ เขามีความอดทนพอๆกับความรอบรู้ Enki ตัดสินใจไม่งัดข้อกับสภาเทพเพราะรู้ดีว่าฐานอำนาจของตนยังไม่พร้อม Enki ตั้งความหวังว่าบุตรชายของตนต้องเป็นเทพที่ยิ่งใหญ่กว่าบุตรของ Enlil และประสบชัยชนะในการชิงอำนาจของผู้นำสภาพเทพรุ่นที่สาม Enki ตัดสินใจแต่งงานกับน้องสาวต่างมารดาของตนนาม NIN.HUR.SAG (นินหุรเซจ - lady of the mountainhead - เทวีแห่งภูผา)

ซึ่งนางเองก็เป็นธิดาของ Anu เช่นเดียวกัน แต่มิได้ถือกำเนิดจากเทวี Antu ชายาตามกฏหมายขององค์บิดรเทพ (หัวอกเดียวกันว่างั้นเถอะครับ ว่าแต่อ่านแล้วนึกถึงความสัมพันธ์ของโอสิริส - ไอซิส - เซธ และเนฟธิสแห่งอียิปต์ไหมครับ?)แต่เหมือนฟ้าแกล้ง Enki กับ Ninhursag มีทายาทเป็นธิดาแทนที่จะเป็นโอรส...จารึกสุเมเรียนกล่าวไว้ว่า มนุษย์ถูกสร้างขึ้นด้วยมือของเทวี Ninhursag โดยมีเทพ Enki คอยให้คำปรึกษาและออกแบบ หน้าที่ของ Ninhursag ตอนอยู่บนโลกมนุษย์คือเป็นหัวหน้าเหล่าพยาบาลคอยเยียวยาเทพที่ได้รับบาดเจ็บ ไม่เพียงเท่านั้นนะครับ นางได้รับการยกย่องจากหมู่เทพจำนวนมากให้เป็นเจ้าแห่งการคิดค้นโอสถสมุนไพร

นักโบราณคดีลงความเห็นว่าบทบาทของนางในตำนานคล้ายคลึงกันมากกับเทพธิดาที่ชื่อ NIN.TI (นินติ - lady life - พระแม่แห่งชีวิต)เนื่องจากได้ชื่อว่าเป็นผู้ให้กำเนิดมนุษย์นี้เอง ในบางครั้งคนโบราณเรียกชื่อเล่นของนางว่าเทวี Mammu (ต้นแบบของคำว่า Mom หรือ Mamma ที่เก่าแก่ที่สุด ^^!) นางมีสัญลักษณ์เป็นมีดเล่มบางอันเป็นอุปกรณ์ที่หมอตำแยเอาไว้ตัดสายสะดือเด็กในตอนทำคลอดEnlil พี่น้องและคู่แค้นของ Enki กลับโชคดีกว่าที่มีโอกาสได้โอรสกับน้องสาวของตน Ninhursag เทพผู้อายุเยาว์ที่สุดในสภาเทพได้ถือกำเนิดขึ้น นามของเขาคือ NIN.UR.TA (นินอุรตา - lord who completes the foundation - เจ้าผู้สถาปนา)
ภาพวาดโบราณของ Ninurta สร้างความประหลาดใจให้นักโบราณคดีตามสมควร เพราะเทพองค์นี้ทรงอาวุธประหลาดไม่เหมือนใคร เพราะอาวุธนี้สามารถยิงสายฟ้าได้ด้วย Ninurta ใช้อาวุธนี้ต่อสู้กับ ZU (ซู - wise - ผู้รอบรู้) ซึ่งบังอาจแข็งข้อหมายประทุษ Enlil ผู้นำแห่งสภาเทพเจ้า Zu ก็มีของดีเช่นเดียวกันครับเป็นพาหนะบินได้ที่เรียกว่า MU (แปลว่าชื่อหรือ name) ลักษณะของ Mu ที่กล่าวถึงในจารึกโบราณนั้นเทียบชั้นได้กับเครื่อง Air Force One ในปัจจุบันได้เลยแหละ ^^

ZU วิหคแห่งตำนานZu - ซู

เป็นตัวตนที่ถูกอ้างถึงในบันทึกวีรกรรมของนินอุรตา ตัวตนนี้เป็นสิ่งมีชีวิตประเภทนกในตำนานใช่หรือไม่ ผมว่าไม่ครับ แม้ว่า Zu จะมีความสามารถบินไปในอากาศได้แต่จากคำบรรยายในจารึกทำให้เรามองภาพว่าตัวของ Zu น่าจะอาศัยยานพาหนะประเภทเครื่องบินในการเดินทางทางอากาศ เทพหนุ่ม Ninurta ของเราก็ใช่ย่อยเพราะบินได้เหมือนกันเผลอๆเก่งกว่า Zu ด้วย สรุปว่าตัวตนผู้กล้าท้าทายผู้นำเทพตนนี้ไม่ใช่นกก็แล้วกันครับ คำพรรณาในจารึกกล่าวถึงคู่หูของ Zu นามว่า BA.U(บางครั้งเรียก GU.LA)

ซึ่งทำหน้าที่คล้ายเนวิเกเตอร์หรือนักบินผู้ช่วยของ Zu ทำไมผมสงสัยว่า Zu ใช้เครื่องบินเป็นยานพาหนะทราบไหมครับ?ก็เพราะในจารึกกล่าวว่า Zu สามารถเดินทางไปไหนมาไหนด้วยสัญลักษณ์รูปนกซึ่งถูกเก็บรักษาไว้ในเขตหวงห้าม (GIR.SU) ในเมืองลากาช แล้วมันจะเป็นอะไรไปได้ถ้าไม่ใช่เครื่องบินที่ถูกจอดไว้ในโรงเก็บ มียามคอยอารักขาอย่างแน่นหนาในยามที่ไม่ใช้งาน














ภาพจำลองนครรัฐ Ur สมัยรุ่งเรืองโดยนักโบราณคดี ... ... ... . ...

ภาพจำลองนครรัฐ Ur สมัยรุ่งเรืองโดยนักโบราณคดีเอาล่ะครับ ผมขอเล่าเรื่องต่อเพื่อให้คุณฟุ้งซ่านขึ้นไปอีก บันทึกของชาวสุเมเรียนกล่าวถึงเนื้อเรื่องที่เทพ Ninurta กับวิหค Zu (ก็ไหนว่าไม่ใช่นกไงเล่า ^^)

ทำการสัปประยุทธกันบนอากาศในแบบดอจไฟท์ โปรดจินตนาการว่ามีเสียงออเคสตราประกอบภาพยนตร์เรื่อง Top Gun ดังกระหึ่ม ขณะที่สิ่งเหนือธรรมชาติทั้งสองโฉบเฉี่ยวเพื่อหาช่องว่างเล่นงานฝ่ายตรงข้าม อาวุธเด็ดที่ Ninurta ใช้สอยวิหค Zu ร่วงจากฟ้ามีชื่อว่า TIL(หรือ til-lum ในภาษาอัสสิเรียน)

หนังสือต้นฉบับแสดงรูปของอาวุธที่มีลักษณะเป็นเส้นตามแนวนอน มีกิ่งก้านคล้ายประกายไฟที่ส่วนท้าย สำหรับหัวของอาวุธนั้นเป็นรูปโคนกรวยค่อนข้างยาว อ่านแล้วนึกถึงอาวุธชนิดไหนในปัจจุบันครับ?อ้อ... ชาวฮีบรูว์(ยิวโบราณ)ชนชาติผู้ได้ชื่อว่าสืบทอดวัฒนธรรมมาจากสุเมเรียนนั้นก็มีศัพท์โบราณคำว่า til ใช้อยู่ด้วยเช่นกัน til ในภาษาฮีบรูว์แปลว่า Missile หรือจรวดครับ :)

Zu เป็นหนึ่งในเทพโบราณอย่างไม่ต้องสงสัย เนื่องจาก Zu ก่อการแข็งข้อต่ออาณาจักรของ Enlil เทพ Ninurta ในฐานะรัชทายาทโดยชอบธรรมจึงจำเป็นต้องแสดงสปิริตด้วยการต่อสู้กับเทพอันเป็นวงศ์วานว่านเครือเดียวกัน มาถึงตรงนี้คุณอาจสงสัยว่า Zu ผู้นี้เป็นเทพองค์ใดของสุเมเรียนเนื่องจากชื่อนี้ฟังไม่คุ้นหูเลย สุเมเรียน-อัสสิเรียน-บาบิโลเนียน ทั้งสามชนชาติมีความสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้นในเรื่องอารยธรรม ในด้านเทพตำนานก็มีอยู่ไม่น้อยที่กล่าวพ้องต้องกันในด้านเนื้อเรื่อง ต่างกันเฉพาะชื่อของเทพเจ้าซึ่งออกเสียงไปตามภาษาของชนชาติตน มีนักโบราณคดีบางคนสงสัยว่า Zu อาจหมายถึง Marduk - มาร์ดุค มหาเทพแห่งอัสสเรียน แต่หลายกระแสค้านมาว่าไม่ใช่ เทพสุเมเรียนที่มีพฤติกรรมใกล้เคียงกับ Zu มากที่สุดคือเทพองค์หนึ่งที่มีนามว่า Nanna - นันนา โอรสของ Enlil ที่เกิดกับชายาเอก Ninlil - นินลิล (อย่าลืมว่ามารดาของ Ninurta ที่รบกับ Zu คือ Ninhurzag) ถ้ากำจัด Ninurta ลงได้สิทธิในการครองบัลลังก์ของสภาเทพก็จะตกอยู่แก่ Nanna โดยชอบธรรม











ซิกกูรัตของชาวสุเมเรียน ยิ่งใหญ่ไม่มีใครเหมือนจริงๆNanna (เขียนเต็มๆคือ NAN.NAR แปลว่าผู้เจิดจรัส) กลับไปมีบทบาทในตำนานของชาวอัคเคเดียนหรือเซมิติค ชื่อในภาษานั้นของเขาเอ่ยไปคุณก็ต้องร้องอ๋อ เพราะ Final Fantasy X ที่เพิ่งผ่านไปก็มีบทบาทของเทพองค์นี้อยู่ด้วย เทพโบราณแห่งความกราดเกรี้ยวที่มีนามว่า Sin - ซินถึงอย่างนั้น Nanna เองทรงมีคุณูปการต่อมนุษย์อยู่มาก โดยเฉพาะที่นครรัฐเออร์ (Ur) ที่ซึ่ง Nanna ทรงนำความรู้และความเจริญมาให้ เทพองค์นี้กลายเป็นเทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ในสายตาของชาว Ur เนื่องจากเป็นผู้พัฒนาระบบการเก็บผลผลิตตลอดจนระบบการขนส่งเสบียงให้กับปราสาทหรือวิหารอื่นๆในบริเวณใกล้เคียง

ข้อพิสูจน์ที่นักโบราณคดีเอา Nanna มาผูกเข้ากับ Zu ก็คือชื่อครับ คำว่า Sin อันเป็นอีกชื่อหนึ่งของเทพองค์นี้กร่อนมาจากคำว่า SU.EN ซึ่งออกเสียงแบบสุเมเรียนหน่อยๆว่า ZU.EN ซึ่งหมายถึง "Lord Zu"หลักฐานจากทั้งจารึกสุเมเรียนและทางโบราณคดีสรุปออกมาพ้องต้องกันว่า เพื่อสร้างฐานอำนาจใหม่ Nanna/Sin กับชายาได้พาเหล่าสาวกหนีไปตั้งหลักอยู่ที่ฮาราน นครรัฐแห่งหนึ่งของชาว Hurrian นครแห่งนี้ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญเพราะมีแม่น้ำและทิวเขาอันเป็นปราการธรรมชาติล้อมรอบอยู่

Inanna and Utu.... Zu/Sin's Children....

ชายาของ Sin มีนามว่า Ningal - นินกัล ทั้งคู่ให้กำเนิดทายาทเป็นแฝดหญิงชายคู่หนึ่ง และถูกคนโบราณรวมเข้าไว้ในฐานะทายาทของราชวงศ์เทพด้วย ทายาทองค์โตเป็นเทพีนามว่า Inanna - อินอันนา ส่วนคนเล็กนาม Utu - อูตู ว่ากันตามความจริงแล้ว Inanna ถือกำเนิดก่อนครับ แต่ด้วยความเป็นสตรีสิทธิของการเป็นรัชทายาทของ Sin จึงตกอยู่แก่ Utu ผู้เป็นอนุชาไปรัชทายาท Utu (รูปด้านขวามือ)มีเมืองในปกครองแถบนคร Sippar - สิปปาร์ อันเป็นเมืองแห่งแรกๆที่เทพของสุเมเรียนสถาปนาขึ้น เมื่ออารยธรรมเริ่มรุ่งเรืองและมนุษย์เข้ามาเป็นสาวกใต้อาณัติแห่งเทพเจ้า รัชทายาทองค์นี้ได้กลายเป็นบิดาแห่งกฏหมายของสุเมเรียนไป เดิมมีกฏอยู่ส่วนหนึ่งที่ถูกตราขึ้นโดย Anu กับ Enlil เทพ Utu นี่แหละครับที่เป็นองค์ประธานในการประมวลชำระกฏหมายเหล่านี้เสียใหม่ โดยทูลขอราชานุญาตจากเทพบิดรทั้งสององค์ที่กล่าวมา กระทั่งพระเจ้าฮัมมูราบีกษัตริย์แห่งบาบิโลเนียนผู้ลือชื่อจากกฏหมายประเภท "ตาต่อตา ฟันต่อฟัน" เองก็ยังถือองค์ Utu เป็นเทพประจำพระองค์ กฏหมายส่วนหนึ่งของบาบิโลเนียนโบราณถอดแบบมาจากประมวลกฏหมายของ Utu ครับ :)คิงฮัมมูราบีเรียกพระนามของ Utu ตามภาษาอัคเคเดียนว่า Shamash - ชามาช (อันมีความหมายในภาษาเซมิติคว่า Sun - พระอาทิตย์) คนโบราณเขียนสัญลักษณ์แทนเทพองค์นี้ด้วยวงกลมขนาดใหญ่คล้ายดวงอาทิตย์ ตัวของ Utu เองมักแสดงอภินิหารด้วยการเปล่งแสงเจิดจ้าออกจากร่างกายบ่อยๆ(นับว่าเป็นการเร่งเร้าพลังแบบหนังจีน ^^)

เทพองค์นี้ได้รับความไว้ใจจาก Enlil ให้เป็นตัวแทนในการทำเทวกิจของพระองค์อยู่เนืองนิจเทพ Utu ถือเป็นบิดาแห่งหลักนิติศาสตร์ในขณะที่ด้านวรรณกรรม ศิลปะเพื่อการจรรโลงใจ การพยากรณ์ รวมถึงศาสตร์แห่งจิตนั้น ชาวสุเมเรียนโบราณยกให้เป็นศาสตร์ของเทวี Inanna ซึ่งคอการ์ตูนคงรู้จักเธอในชื่อเทวีอิชตาร์อันเป็นคำในภาษาอัคเคเดียนมากกว่าครับ (เห็นบางสำนวนแปลอ่านว่าอิชูตัล ผมล่ะอยากบ้าตาย)

Inanna and Utu.... Zu/Sin's Children....(ต่อ)
เทวีผู้ที่มีชื่อเสียงที่สุดนับแต่โบราณกาลจวบจนปัจจุบัน ชื่อของเธอในภาษาโรมันคือวีนัส(Venus), ในภาษากรีกว่าอโฟรไดต์(Aphrodite), ชาวคานาอันไนต์กับฮีบรูว์เรียกเธอว่าแอชตาแต(Ashtarte), ชาวอัสสิเรียน-บาบิโลเนียน-ฮิตไทต์และประชาคมในบริเวณใกล้เคียงเรียกเธอว่า อิชตาร์หรือเอชดาร์(Ishtar or Eshdar), ส่วนในภาษาสุเมเรียนและอัคเคเดียนชื่อของเธอคือ Inanna หรือ Innin หรือ Ninni Innana มีฉายาอีกมากมายจำไม่หวาดไหว เธอเป็นเทพธิดาแห่งสงครามและความรัก(ควบสองตำแหน่ง)
เธอเป็นเทวีที่อารมณ์ร้ายที่สุดและสวยงามที่สุดในเวลาเดียวกัน และด้วยความเป็นหลานสาวหัวแก้วหัวแหวนของเทพบิดร Anu เธอจึงเบียดตังเองขึ้นทำเนียบเทพองค์สำคัญแห่งสภาพเทพของสุเมเรียนได้อย่างไม่ยากนักหน้าที่ของ Innanna คือดูแลวิหารของ Anu ในนคร Uruk แม้เธอได้รับการยอมรับในฐานะเทพธิดาแห่งนครอูรุกและเป็น Anunitum (beloved of Anu - ที่รักของอานู) ที่เทพองค์ใดเห็นเป็นต้องอิจฉาก็ตาม Innanna กลับไม่พอใจเพียงเท่านั้น เธอต้องการเปลี่ยนจุดยืนของนคร Uruk เสียใหม่ให้เข้มแข็งเป็นศูนย์กลางอำนาจมากกว่านี้ ในสมัยนั้นนครที่รุ่งเรืองที่สุดของซูเมอร์คือ Eridu ของเทพ Enki

ว่ากันว่าความลับแห่งปัญญาของ Enki ล้วนอยู่ที่นั่น เพื่อให้ได้มาซึ่งความลับนั้น Inanna ใช้สติปัญญาอย่างเต็มกำลังเพื่อที่จะขอ ยืม หรือแม้กระทั่งฉกชิงความลับแห่งปัญญานั้นมาดังนั้น Inanna จึงวางแผนเข้าพบเทพผู้ใหญ่อย่าง Enki...












อาศัยการฉอเลาะแบบเด็กหญิงนิดหน่อย คอยรินเหล้าเอาใจเล็กๆน้อยๆ เทพ Enki ก็ใจอ่อนตกลงรับปากจะทำอะไรก็ได้เพื่อเธอหนึ่งเรื่อง Inanna ไม่รอช้าที่จะขอสูตรศักดิ์สิทธิ์จาก Enki สูตรศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวเป็นความลับทางเทคโนโลยีของ Enki ครับ ว่าด้วยเรื่องการปกครอง อุตสาหกรรม การผลิตอาวุธ และเทคโนโลยีอื่นๆที่ Enki ทรงใช้พัฒนานครเอริดูซึ่งตามปกติใครที่ไหนเขาจะให้กัน
เทพผู้ใหญ่องค์นี้ทำไปเพราะความเมาแท้ๆภายในเวลาไม่นานนัก Enki ฟื้นจากอาการมึนเมา ทรงรำลึกได้ว่าตัวเองพลาดท่าเด็กสาวเข้าให้เสียแล้ว Enki ได้บัญชาทหารของตนตามไปจับตัว Inanna มาโดยด่วน เพราะเธอไม่ได้หยิบไปเฉพาะสูตรศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นน่ะซีครับ เธอเอาอาวุธมหาประลัย (awesome weapons) ของเทพ Enki ติดมือไปด้วยEnki โกรธจนหนวดกระดิกเมื่อทหารกลับมารายงานว่าทุกอย่างช้าไปเสียแล้ว Inanna เร่งความเร็วเรือสวรรค์ (Boat of Heaven) ของนางชนิดไม่มีเรือลำไหนในกองเรือของ Enki บินตามไปทัน

The Sons of the Gods....Their alloted numbers....The Anunnaki.

เทพ Enki มีโอรสทั้งหมด 6 องค์ สามในหกเป็นเทพที่มีบทบาทยิ่งในตำนานสุเมเรียน โอรสองค์แรกคือ Marduk - มาร์ดูคผู้กลายเป็นเทพเหนือเทพในเวลาต่อมา, Nergal - เนอร์กาลเจ้าแห่งแผ่นดินทางตอนล่าง และ Dumuzi - ดูมูซี ซึ่งเป็นคู่สมรสของ Inanna เทวีจอมแสบ









โอรสทั้งสามองค์ของ Enlil ก็มีบทบาทต่อสุเมเรียนโบราณไม่แพ้กัน Ninurta รัชทายาทผู้เกิดกับเทวี Ninhursag ผู้เป็นขนิษฐาแท้ๆของเอนลิล, Nanna/Sin บุตรหัวปีที่แท้จริงผู้เกิดกับชายาเอก Ninlil, และสุดท้ายคือ ISH.KUR - อิชกูร์ พี่น้องร่วมมารดาของ Nanna/Sin บ่อยครั้งที่ชาวสุเมเรียนจะเรียกนามของเทพองค์นี้ว่า Adad - อาดัด ซึ่งแปลว่าอันเป็นที่รัก...
ตำนานบ่งบอกกับเราเป็นนัยๆว่า Ishkur(Adad) และ Inanna ชอบพอกันอยู่ตั้งแต่ต้นIshkur เป็นเทพผู้สง่างาม ทรงเป็นเพลย์บอยพอๆกับเทพเซอุสของชาวกรีก แต่ก็ใช่ว่าพระองค์จะทรงโฉบฉายไปวันๆอย่างไม่มีสาระ เทพ Ishkur ได้รับการถ่ายทอดพลังจาก Enlil ผู้บิดาให้อยู่ในฐานะของเทพแห่งพายุ

นักโบราณคดีรู้จักเทพองค์นี้ดีพอสมควรครับ เนื่องจากอยู่ในตำแหน่งสักการะอย่างสูงของหลายชนชาติในแถบนั้น เช่น เป็นเทพ Teshubu(Wind blower - ผู้โบกวายุ) ของชาวฮิตไทต์, เป็นเทพ Ramanu(Thunderer - ผู้สั่งอสนี) ของชาวอามอไรต์, ชาวคานาอันไนต์เรียกพระองค์ว่า Ragimu ส่วนชาวเซมิติคขนานนามพระองค์ให้เป็นผู้เจิดจรัสแห่งท้องฟ้าหรือ Meirตำแหน่งของวงศ์วานแห่ง Anu, Enlil และ Enki ในราชวงศ์เทพของชาวสุเมเรียนมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่น่าสนใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการให้ตำแหน่งแก่เทพองค์ต่างๆโดยการแทนด้วยตัวเลข
ซึ่งจากการค้นพบระบบตัวเลขนี้เองทำให้นักโบราณคดีเข้าใจแนวคิดของชาวสุเมเรียนเกี่ยวกับเทพเจ้า ในช่วงที่อารยธรรมของชนชาตินี้รุ่งเรืองถึงที่สุด พวกเขามีเทพหลักอยู่ 12 องค์เท่ากันกับเทพแห่งโอลิมปัสของชาวกรีกเด๊ะเราพบว่าสัญลักษณ์แห่งเทพสูงสุดประกอบด้วยเทพ 12 องค์(ซึ่งเป็นที่มาของทฤษฏีดาวเคราะห์ 12 ดวงที่ผมจะกล่าวถึงในภายหลัง) เทพแต่ละองค์ถูกแทนด้วยตัวเลขในระบบตัวเลขของพวกเขาซึ่งปัจจุบันเราก็ยังใช้กันอยู่ ถูกแล้วครับเลขฐาน 60 นั่นเองเลขอันเป็นสัญลักษณ์สูงสุดของระบบนี้(ในแนวคิดของพวกเขา)คือเลข 60 ถูกยกให้แก่บิดรเทพ Anu, เลข 50 และ 40 ถูกยกให้แก่ Enlil กับ Enki สองพี่น้องตามลำดับ, เทพ Ishkur/Adad อยู่ที่ตำแหน่งของเลข 10 เป็นต้นความเป็นระบบอีกอย่างของสัญลักษณ์แห่งเทพนี้ก็คือ

เทพเจ้าที่เป็นชายจะอยู่ในตำแหน่งของตัวเลขที่หารด้วย 10 ลงตัว(เมื่อเอา 60 เป็นตัวตั้ง) ส่วนเทพเจ้าที่เป็นเทวนารีจะอยู่ในตำแหน่งที่สามารถหารได้ด้วย 5 ดังตารางด้านล่าง
Male Female

60 – Anu 55 – Antu
50 – Enlil 45 – Ninlil
40 – EA/Enki 35 – Ninki
30 – Nanna/Sin 25 – Ningal
20 – Utu/Shamash 15 – Inanna/Ishtar
10 – Ishkur/Adad 05 – Ninhursag

ชาวสุเมเรียนเป็นอีกชนชาติหนึ่งที่มีเทพเจ้าในความสักการะมากมายนับกันไม่หวาดไม่ไหว แถมเทพ Anu ก็ทรงมีวงศ์วานเยอะเหลือเกิน นับเฉพาะเท่าที่มีรายนามในจารึกโบราณก็ร่วมร้อยแล้วครับ เพียงแต่เทพที่ถูกยกให้เป็นเทพสูงสุดจริงๆนั้นมีกันอยู่เพียงแค่ 12 องค์เท่านั้น นับว่าคล้ายกันกับชาวกรีกในยุคหลังเป็นอย่างมาก

เนฟิลิม ปวงเทพผู้มากับอากาศยาน
Chapter Five: THE NEFILIM, People of The Fiery Rockets

งานเขียนของสุเมเรียนและอัคเคเดียนโบราณแสดงความเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัยว่า พระเจ้าโบราณของพวกเขาเสด็จลงมาจากสวรรค์ ทำการพัฒนาสิ่งแวดล้อม สถาปนานคร รวมทั้งสร้างสังคมอันเป็นปึกแผ่นให้กับบรรพชนของพวกเขา เป็นที่น่าสังเกตอยู่อย่างว่าปาฏิหารย์ของเทพเจ้าในงานเขียนของพวกเขานั้น มีอย่างหนึ่งซึ่งสอดคล้องต้องกันและเป็นสิ่งที่คนโบราณกล่าวถึงอย่างไม่ประหลาดใจ ราวกับว่าพวกเขาเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเสียจนชินปาฏิหารย์ดังกล่าวคือการบินครับ...














Inanna เป็นตัวอย่างหนึ่งที่จารึกโบราณกล่าวถึงการบินของเธอบ่อยว่า เทวีองค์นี้สามารถท่องเที่ยวไปทั่วสวรรค์ เดินทางจากแห่งหนึ่งไปอีกแห่งหนึ่งได้อย่างไม่มีข้อจำกัด บางดินแทนที่เธอไปเยือนนั้นเป็นที่ๆมนุษย์ไม่สามารถไปถึงได้ เพราะต้องเดินทางด้วยการบินไปทางอากาศเพียงอย่างเดียวฟังดูเป็นตำนานธรรมด๊าธรรมดานะครับเพราะเทพของชาติไหนก็บินได้ทั้งนั้น ไม่เห็นเป็นเรื่องแปลกสักนิดพูดอย่างนั้นมันก็ใช่ แต่อย่าลืมเสียว่าเทพของชาวสุเมเรียนค่อนข้างต่างไปจากเทพของชนชาติโบราณอื่นๆ เราเปรียบเทียบประเด็นนี้ได้จากภาพวาดของคนโบราณครับ

เทพ(หรือทูตสวรรค์)ในความเชื่อของคนโบราณมักมีปีกกับรัศมีเป็นสัญลักษณ์ เทพเหล่านี้ไปไหนมาไหนทีก็อาศัยปีกของตนนั่นแหละบินไป รูปของเทพในลักษณะนี้เชื่อว่าคงเคยผ่านตากันอยู่บ้างหันมาดูเทพของสุเมเรียนโบราณบ้าง จากภาพวาดหรือจารึกโบราณแสดงให้เราเห็นว่าพวกเขาก็มีปีกเช่นกัน แต่เป็นปีกที่ไม่ใช่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายเหมือนเทพของชาติอื่น พูดง่ายๆคือปีกเหล่านั้นไม่ได้งอกออกมาจากกลางหลังหรือช่วงไหล่ หากแต่ติดเข้าไปในลักษณะของออปชั่นคอสเพลย์ เอ๊ย... ในลักษณะของเครื่องแต่งกายประเภทหนึ่งต่างหากเหมือนชุดเจ็ทขนาดเล็กสำหรับนักบินในปัจจุบันว่างั้นเหอะ...ส่วนใหญ่ Inanna จะเดินทางไปเยี่ยมน้องสาวคือเทวี Ereshkigal - เอเรชคิกัล

ที่อาณาจักรของเธอใน Lower Land (โลกล่าง - หมายถึงแอฟริกา) การเดินทางของ Inanna มิเพียงทำให้นักโบราณคดีต้องทึ่งกับบทกวีซึ่งบรรยายไว้อย่างไพเราะเท่านั้น แต่ยังสร้างความพิศวงในส่วนของรายละเอียดแห่งการเดินทางนั้น ถ้าเราตัดอภินิหารและจินตนาการออกไปเราจะพบว่า

สิ่งที่จารึกโบราณบอกเล่ากับเรานั้น คือรายละเอียดของการเดินทางด้วยการบินจากดินแดนซูเมอร์ไปยังแอฟริกาด้วยอุปกรณ์บางประเภท จารึกกล่าวถึงอุปกรณ์ 7 ชิ้นซึ่งเทวี Inanna สวมใส่ก่อนทะยานข้ามฟ้าไปยังอาณาจักรของ Ereshkigal อุปกรณ์เหล่านั้นดูคล้ายส่วนประกอบของชุดนักบินอย่างที่สุด แต่ละชิ้นก็มีชื่อเฉพาะของมัน เช่น Shugarar ที่หมายถึงหมวก, เกราะหุ้มไหล่สองชิ้น รวมไปถึงชุด(นักบิน)ที่เรียกว่า Pala อีกด้วยเทวี Inanna ให้คำอธิบาย(ไว้ในจารึก)ว่าเครื่องประดับเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของภัสตราภรณ์แห่งฟ้า (Celestial Garment) ซึ่งเธอต้องสวมใส่ก่อนเดินทางไกลด้วยเรือแห่งสวรรค์(Boat of heaven)

ตามปกติ Inanna ไม่ทรงแต่งกายพิศดารปานนี้หรอกครับ ชุดประกอบอุปกรณ์ที่ว่ามานี้ใช้เฉพาะเวลาที่เธอต้องบินเท่านั้น นักโบราณคดีผู้สำรวจวิหารของ Inanna ใน Ashur ต่างรู้สึกประหลาดใจกับรูปเทพธิดาผู้ทรงหมวกรัดศีรษะ มีหูฟังครอบสองด้านแต่ละด้านมีเสาคล้ายเสาอากาศเล็กๆโผล่ขึ้นมา แถมมีแว่นตาอันเบ้อเริ่มเป็นส่วนประกอบของหมวกเสียด้วย เห็นจะไม่ต้องพูดอะไรมากนะครับว่าถ้าคุณเกิดเห็นใครใส่หมวกลักษณะอย่างนี้เข้า คุณจะคิดว่าเขาเป็นอะไรถ้าไม่ใช่นักบิน

The Anunnaki's Rockets

มีจารึกของพระเจ้าเนบูคัดเนซซาที่ II ที่พรรณาถึงความพยายามในการบูรณะกระโจมโบราณแห่งหนึ่งในนครบาบิโลน กระโจมโบราณดังกล่าวเคยเป็นที่เก็บรถสวรรค์ของเทพ Marduk มหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ของชาวบาบิโลเนียน(ทรงเป็นโอรสของ Enki) เป็นหนึ่งในเจ็ดปราการสำคัญที่คอยปกป้อง ME ทั้งเจ็ดแห่งสวรรค์และโลก คำว่า ME - มี หมายถึงวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลานุภาพครับ

ในวรรณคดีของชนชาติโบราณขยายความคำๆนี้ว่าเป็นวัตถุซึ่งสามารถแหวกว่ายอยู่บนท้องฟ้า แหม... นึกยังไงก็คงไม่ใช่ปลาบินหรอกนะในเทพนิยายกรีกเรื่องหนึ่งกล่าวถึงอิคารัสผู้สามารถบินบนท้องฟ้า โดยอาศัยปีกขนนกที่เชื่อมเข้ากับร่างกายโดยขี้ผึ้ง แนวคิดนี้ชาวกรีกอาจได้รับการถ่ายทอดมาจากตะวันออกกลาง เพราะเทพเจ้าของแถบนั้นก็มีความสามารถในการบินด้วยการติดอุปกรณ์ประเภทปีกเข้ากับชุด(นักบิน)เช่นกัน
แต่ก็นั้นแหละครับอย่าเพิ่งคล้อยตามผมนัก สิ่งเหล่านี้อาจเป็นเพียงจินตนาการของคนโบราณเท่านั้น แม้ว่าหลายต่อหลายตอนในจารึกโบราณชวนให้เรานึกฝันเหลือเกินว่า เทพเจ้าเหล่านั้นสามารถบินไปบนท้องฟ้าด้วยอุปกรณ์ไฮเทคประเภทเครื่องเจ็ท ปีกในตำนานอาจเป็นเพียงสัญลักษณ์ของนักบินเท่านั้น เวลาที่บินจริงๆเทพเจ้ายังต้องอาศัยเครื่องบินบินไปเหมือนพวกเราในปัจจุบันนี่แหละ










ซ้าย:การสร้างเทวสถานของเนบูคัดเนซซาที่2 ขวา: Gudea ผู้รับเทวบัญชาให้สร้างโรงเก็บอากาศยานให้เทพเจ้าราวสองพันปีก่อนหน้านั้น
Gudea -กูเด ผู้นำชาวสุเมเรียนโบราณได้สั่งให้สร้างอนุสรณ์สถานเพื่ออุทิศแด่เทพ Ninurta ซึ่งเขาเขียนบันทึกไว้ว่ามาปรากฏตัวต่อหน้าเขา "ด้วยรัศมีอันเรืองโรจน์ ด้วยหมวกที่บุรุษผู้นั้นสวมใส่ เขาคือเทพเจ้าอย่างไม่ต้องสงสัย"

ประหลาดดีนะครับ คนโบราณเค้าแยกมนุษย์กับเทพเจ้าออกจากกันด้วยลักษณ์ของหมวกหรือ เป็นไปได้ไหมว่าพระเจ้าในที่นี้หมายถึงนักบินที่สวมหมวกและชุดนักบินเต็มยศNinurta เสด็จมาพร้อมผู้ติดตามสองคน ตอนที่ Gudea พบพวกเขา มีวิหคสีดำขนาดใหญ่จอดเทียบอยู่ เทพองค์นี้แจ้งวัตถุประสงค์ต่อเขาว่า ต้องการเทวสถานที่อยู่ในเขตปลอดภัย ภายในเทวสถานต้องมีพื้นที่ขนาดใหญ่สำหรับเก็บวิหคดำตัวนี้ถ้าเราเชื่อว่าวัตถุ(หรือตัวตน)เหล่านั้นคืออากาศยาน เราต้องเชื่อต่อไปว่าอากาศยานเหล่านั้นมีความสำคัญต่อคนโบราณเป็นอย่างมาก พวกเขายกย่องมันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้า

เจ้าวิหคดำลำดังดังกล่าวถูกยกให้เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ มันถูกปกป้องโดยอาวุธสวรรค์ที่เรียกว่า supreme hunter และ supreme killer ซึ่งจะยิงแสงแห่งความตายเข้าใส่ใครก็ตามที่บังอาจเข้าใกล้วิหคดำก่อนได้รับอนุญาตบันทึกของ Gudea ยังกล่าวถึงยานบางประเภทที่ทำหน้าที่ขนส่งนักบินสู่ท้องฟ้า เขาให้ชื่อมันว่าวิหคสวรรค์ซึ่งลงจอดอย่างเที่ยงตรงบนสัญลักษณ์วงกลมที่ทำเตรียมไว้บนพื้นดินหรือหลังคาวิหาร ในยามที่มันร่อนลงก่อให้เกิดเสียงกึกก้องกัมปนาท เปลวไฟจากวิหคสวรรค์แลบเลียไปทั่วพื้นอิฐที่มันลงจอด สถานที่ที่ใช้เก็บวิหคสวรรค์ฟังแล้วก็เข้าเค้าครับ เพราะบันทึกโบราณเรียกมันว่า MU.NA.DA.TUR.TUR หรือปราการศิลาสำหรับเก็บ MU ถ้ามูหมายถึงอากาศยานปราการศิลาก็ทำหน้าที่เป็นโรงเก็บหรือไม่ก็ลานจอดอ้อ... ลืมบอกไปว่ายานศักดิ์สิทธิ์ของเทพ Marduk ที่พระเจ้าเนบูคัดเนซซาที่ II ทรงสร้างอนุสรณ์สถานให้นั้นมีชื่อว่า ZAG.MU.KU ครับ :)
Chapter Five: THE NEFILIM,People of The Fiery Rockets (ต่อ)
Mu และ Shem จรวดของคนโบราณ

I raised the head of the boat ID.GE.UL, the chariot of Marduk’s princeliness.The boat ZAG.MU.KU, whose approach is observed, the supreme traveler between heaven and earth,in the midst of the pavilion I enclosed, screening off its sides”.
ข้อความด้านบนเป็นข้อความที่คัดมาจากบักทึกของพระเจ้าเนบูคัดเนซซาที่ 2 ซึ่งพรรณนาไว้เกี่ยวกับอากาศยานและการสร้างโรงเก็บ คำว่า ID.GE.UL มีความหมายในทางวรรณคดีว่า "สูงขึ้นไปบนท้องฟ้า เปล่งแสงสว่างในยามราตรี" เป็นคำที่ใช้อธิบายตัวยยานและนักบินที่มากับยาน ส่วน ZAG.MU.KU นั้นเป็นชื่อของยานซึ่งถูกเก็บไว้ในปราการซึ่งสร้างขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัยMU อันหมายถึงวัตถุรูปโคนที่มีปลายแหลมนี้ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีภายในวิหารที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกแก่เทพเจ้าที่เสด็จลงมาจากท้องฟ้า The Anunnaki...
เป็นที่น่าสังเกตว่าเทวสถานที่ถูกสร้างขึ้นเหล่านี้เกือบทุกแห่งไม่ใช่เทวสถานที่สร้างขึ้นมาครั้งแรก ตรงข้ามพวกมันถูกบูรณะหรือซ่อมแซมขึ้นมาใหม่ในจุดที่เคยถูกสร้างขึ้นต่างหาก บางแห่งถูกทำลายลงไปเพราะสงครามบ้าง ภัยธรรมชาติบ้าง แต่คนโบราณก็ยังเลือกที่จะสร้างมันขึ้นมา ณ จุดเดิมครั้งแล้วครั้งเล่า จุดเหล่านั้นมีอะไรพิเศษหรือครับ?


ท่านที่สนใจในศาสตร์เฟิงสุ่ย(หรือฮวงจุ้ย)คงพอจะนึกออก บริเวณที่คนโบราณใช้สร้างเทวสถานเพื่อเก็บอากาศยานนั้นต้องเป็นบริเวณที่มีความสัมพันธ์บางอย่างกับแนวพลังงานโลก (เหมือน Ley lines ในอังกฤษ)
เป็นไปได้ไหมครับว่าเชื้อเพลิงที่ให้พลังงานสำหรับอากาศยานเหล่านี้เป็นพลังงานจากโลกของเรา พลังงานบางอย่างที่เทคโนโลยีปัจจุบันยังไม่รู้จักนอกจากนี้คำว่า MU ในภาษาสุเมเรียนยังมีความหมายอีกหลายอย่าง ความหมายหลักที่ใช้กันคือ สิ่งที่พุ่งตรงขึ้นไป ส่วนความหมายอื่นที่พอจะพบก็เช่น สูงเสียดฟ้า, ไฟ, ยิง, การออกคำสั่ง เป็นต้น[attach]693[/attach]
ร่องรอยของ Mu ในบันทึกโบราณจากการสืบสาวต้นตอของคำว่า Mu ซึ่งถูกพบบ่อยในงานเขียนด้วยอักษรคิวนิฟอร์มของบาบิโลเนียนและอัสสิเรียน นักโบราณคดีพบว่ามันมีที่มาจากอักษรภาพของสุเมเรียนซึ่งถูกเขียนเป็นรูปห้องทรงกรวย ในบางรูปมีบทพรรณนาสั้นๆกำกับอยู่ว่า "จากห้องพำนักแห่งสวรรค์ เราจะคอยจับตาดูเจ้า" อันนี้เป็นบทพูดซึ่งเป็นคำรับปากของเทวี Inanna แก่ราชาแห่งมนุษย์ผู้ปกครองสุเมเรียนครับ
บทสวดเก่าแก่ชื่อเพลงสรรเสริญแด่ Inanna บอกเราอย่างชัดแจ้งครับ ว่า Mu เป็นอะไรไปไม่ได้เลยนอกจากพาหนะที่เทพเจ้าโบราณของชาวสุเมเรียนใช้เดินทางระหว่างสถานที่ต่างๆ โดยเฉพาะเดินทางจากฟากฟ้าอันไกลโพ้นมายังโลกมนุษย์ของพวกเรา (ก็เดี๋ยวนี้เป็นของพวกเรา ถึงเมื่อก่อนจะเป็นของพวกเขาก็เถอะ ^^)

Lady of Heaven:She puts on the Garment of Heaven;She valiantly ascends towards Heaven.Over all the people landsshe flies in her MuLady, who in her Muto the heights of Heaven joyfully wings.Over all the resting placesshe flies in her Mu.
จากบทสวด: Hymn to Inanna

อักษรภาพของชาวฮิตไทต์เป็นอีกตัวอย่างที่ชัดเจน เพราะมีภาพของจรวดบนฐานยิงซึ่งมีเทพโบราณประทับอยู่ข้างใน จรวดนั้นคล้ายกำลังเคลื่อนที่อยู่เพราะมีเปลวไฟพุ่งจากท้ายจรวด โดยมีดวงดาวบนท้องฟ้าเป็นฉากหลังของภาพกลับมาที่ชาวสุเมเรียนโบราณบ้าง พวกเขาเป็นชาติที่ไม่ขาดแคลนสัตว์ในเทพนิยายชาติหนึ่งครับ ภาพสัตว์ในจินตนาการ(หรือเปล่า?)
ของพวกเขาเช่น ม้ามีปีก, สัตว์ที่อาศัยบนสวรรค์ในทำนองเดียวกับสัตว์หิมพานต์ของบ้านเรา ซึ่งรูปร่างก็ล้วนแปลกตามีปีกบ้างมีเขาแปลกๆบ้าง ภาพสัตว์เหล่านี้ดูจะเป็นตัวแทนทางศิลปะของดินแดนซูเมอร์ไปเสียแล้ว สิ่งที่น่าแปลกก็คือในบรรดาภาพวาดเหล่านี้แทบทุกภาพต้องมีสิ่งหนึ่งปรากฏอยู่ด้วยเสมอ ลองพิจารณาภาพด้านล่างนี้สิครับมีภาพจรวดอยู่ด้านบนด้วย เห็นไหม?



ที่เมืองเกเซอร์เมืองเล็กๆปห่งหนึ่งใกล้ชุมชนของชาวคานาอันโบราณทางตอนใต้ของกรุงเยรูซาเล็ม นักโบราณคดีค้นพบภาพวาดของจรวดขนาดใหญ่ตั้งลำอยู่ใกล้ต้นปาล์ม ลำตัวจรวดมีปีก(ซึ่งดูคล้ายกับครีบ)อยู่โดยรอบ มีบันไดขนาดใหญ่พาดจากพื้นสู่ตอนบนของลำจรวด ซึ่งก็ดูแปลกดีเหมือนกัน (รูปไหนที่มันใหญ่มากผมไม่เอามาลงนะครับ คัดมาเท่าที่พื้นที่ที่เหลือใน thai.net จะเอื้ออำนวย ^^)
ภาพวาดของจรวดที่กำลังเดินทางเหล่านี้มีจุดหมายเป็นสัญลักษณ์ทางดาราศาสตร์โบราณ เช่น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ หรือกลุ่มดาวในจักราศี ภาพเหล่านี้มักมีอักษรกำกับเป็นคำบรรยายถึงการเดินทางของเทพเจ้า แต่ในบางครั้งผู้โดยสารที่พ่วงไปด้วยกลับเป็นมนุษย์ธรรมดาๆซึ่งพลอยอาศัยพาหนะนี้ไปสวรรค์กับเทพเจ้าของพวกเขาด้วย
นักภาษาศาสตร์ให้ข้อสังเกตว่าคำว่า MU ในภาษาสุเมเรียนน่าจะกลายคำมาจากคำว่า SHU.MU ซึ่งบ่อยครั้งออกเสียงว่า Sham หรือ Shem อันแปลว่าชื่อในภาษาเซมิติคจารึกของอนุชนรุ่นหลังซึ่งคัดลอกมาจากชาวสุเมเรียนโบราณมีอยู่มากที่แปลความหมายผิดเพี้ยนไป ตัวอย่างคือคำว่า Shem นี่แหละครับ นักโบราณคดีหลายคนแปลคำๆนี้ออกมาตามความหมายในภาษาเซมิติคว่าชื่อ และถูกใช้อ้างอิงต่อๆกันมาจนความหมายที่แท้จริงในจารึกโบราณผิดเพี้ยนไปหมด ตัวอย่างง่ายๆก็เช่นที่ G.A. Barton (ราชบัณฑิตด้านจารึกสุเมเรียนและอัคเคเดียน) แปลความหมายในบันทึกของ Gudea ประโยคที่ว่า “Its MU shall hug the lands from horizon to horizon” เป็น “Its name shall fill the lands” ชื่อขจายไปทั่วแผ่นดินหรือ มันคนละเรื่องกันเลยนะพี่ ^^!

Shem ในอียิปต์และ The Tower of Babel
ถ้าไม่กล่าวถึงไบเบิลบ้างก็คงไม่ใช่นายโซนิค ในคัมภีร์พันธสัญญาเก่าเองก็ได้กล่าวถึงอนุสรณ์สถาน 2 ประเภทอันได้แก่ Yad และ Shem (ขออณุญาตทับศัพท์) ศาสดาพยากรณ์เอไสยะผู้ทำหน้าที่เกลี้ยกล่อมปวงชนผู้กำลังสับสนในจูเดียด้วยคำมั่นของพระเจ้าที่ว่า And I will give them, In my house and within my walls, a yad and a shem. ส่วนในอียิปต์โบราณ เหล่าภิกขาจารผู้แสวงหาธรรมต่างหลั่งไหลเข้าไปชมวิหารแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ในนครเฮลิโอโพลิสเพื่อทำการสักการะแด่ ben-ben วัตถุทรงปิระมิดซึ่งเทพเจ้าของพวกเขาให้ไว้เป็นที่ระลึกในคราวเสด็จมาเยือนโลก


สำหรับชนชั้นกษัตริย์เช่นองค์ฟาโรห์ เมื่อทรงสวรรคตลง พระศพจะถูกนำเข้าทำพิธีศักดิ์ที่เรียกว่าการเบิกทวาร (หมายถึงการเปิดประตูนะ คิดไปถึงไหนกันแล้ว ^^)
โดยการนำพระศพเข้าบรรจุใน yad หรือ shem อันเป็นพาหนะที่จะนำองค์ฟาโรห์เดินทางสู่โลกอันมีชีวิตนิรันดร์ความหมายของคำว่า Shem ถูกแปลว่าชื่อจวบจนถึงปัจจุบัน(ก็ไบเบิลแปลมาอย่างนี้นี่ครับ)
เคยมีการเสนอให้ตีความคำๆนี้ใหม่ในการสัมมนาทางวิชาการของนักโบราณคดี แต่ที่ประชุมเพิกเฉยไปโดยเห็นว่าสำนวนแปลที่มีอยู่นั้นถูกต้องอยู่แล้ว การยืนกรานในลักษณะนี้ในวงวิชาการเป็นเรื่องธรรมดาครับ เพราะเมื่อประมาณร้อยกว่าปีก่อน G.M. Redslob ก็เคยเสนอความหมายของคำๆนี้ในหนังสือของเขาเช่นกัน Redslob ให้ข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า คำว่า Shem และ Shamaim (ที่แปลว่าสวรรค์)นั้นน่าจะมีรากศัพท์มาจากคำว่า Shamah อันแปลว่าที่อยู่สูงขึ้นไป ในบางครั้งถูกแทนด้วยคำว่า Shamaในคัมภีร์พันธสัญญาเก่ากล่าวถึงการ "made a shem" ของกษัตริย์เดวิดเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะที่มีต่อเหล่าอาราเมอัน คำแปลในนั้นกล่าวไปในความหมายของการสร้างชื่อของคิงเดวิดให้ขจรขจาย
ฟังดูก็เข้าเค้าเข้ารูปกับเรื่องราวแห่งชัยชนะ แต่คิดไหมครับว่า made a shem กับ made a name นี่มันไปคนละเรื่องกันเลยShem ของกษัตริย์เดวิดเป็นอนุสรณ์สถานที่ยอดของมันชี้ตระหง่านขึ้นไปบนฟ้า คิดไหมครับว่ามันควรเป็น Shem ชนิดเดียวกับ MU หรือ SHEM ที่กล่าวถึงในตำนานของชาวสุเมเรียน เป็น shem ที่ไม่ได้แปลว่าชื่อหากแต่หมายถึงอากาศยานบางประเภทต่างหาก ความเพี้ยนของการแปลจารึกโบราณ(รวมทั้งไบเบิล)
ในทำนองนี้ทำให้ข่าวสารจากโบราณกาลคลาดเคลื่อนไปหมด ซึ่งผมว่าจริงๆแล้วไม่ใช่ความผิดของคนแปลเสียทีเดียวหรอกนะ เพราะหนึ่งนั้นในยุคสมัยของคนแปล ด้วยประสพการณ์และภูมิความรู้ของเขาคงนึกไม่ถึงอะไรทำนองนี้ และสอง ต่อให้ยุคปัจจุบันเองก็เถอะ จะมีมนุษย์ปกติที่ไหนบ้างที่ได้มีโอกาสอ่านงานโบราณเหล่านั้นและแปลมันออกมาในลักษณะที่ท่านกำลังอ่านในเว็บนี้... โดยที่เขาไม่ตะขิดตะขวงใจว่านี่ตูข้ากำลังเพี้ยนไปหรือไรหวา



เอาเป็นว่าเมื่อคุณหลวมตัวอ่านมาสิบกว่าหน้าแล้ว ลองมาดูตัวอย่างง่ายๆของการทำความเข้าใจข่าวสารที่แท้จริงจากคนโบราณกันดีกว่า เราจะยกตัวอย่างเล็กๆในไบเบิลพอให้เห็นกัน โดยมีเรื่องราวของคนคอยคนบาป The Tower of Babel เป็นของแถมครับ :)
เรื่องราวของหอคอยบาเบลในไบเบิลแสดงให้เห็นเหตุการณ์หลังยุคน้ำท่วมโลก เมื่อมนุษย์ทวีจำนวนเพิ่มมากขึ้น มีการสถาปนานครรัฐขึ้นใหม่ การรวมตัวเพื่อจัดระเบียบสังคมของพวกเขาทำให้ชนชาติหลังน้ำท่วมโลกมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ดังรายละเอียดในไบเบิลที่ว่ามนุษย์ส่วนหนึ่งอพยพมาจากทางตะวันออก พวกเขาพบที่ราบขนาดใหญ่แห่งชีนาร์และเริ่มตั้งรกรากกันที่นั่นThe Land of shinar นั้นปัจจุบันรู้จักกันในนามของดินแดนแห่งซูเมอร์ เป็นผืนดินกว้างใหญ่คั่นกลางระหว่างแม่น้ำสองสายคือไทกริสกับยูเฟรติสทางตอนใต้ของเมโสโปเตเมีย
อารยธรรมยุคหลังน้ำท่วมโลกของมนุษย์ไม่ได้ถึงกับล้มหายตายจากหรือย้อนหลังไปสู่ยุคหินแต่อย่างใด พวกเขาก่อร่างสร้างนครรัฐจากเทคโนโลยีเดิมที่มีอยู่ จวบจนกระทั่งสังคมเมืองกลับสู่ความรุ่งเรืองอีกครั้ง มนุษย์เหล่านั้นเริ่มมีความคิดต้องตรงกันในแง่ที่ตำนานกล่าวเอาไว้ว่า
...ให้พวกเราก่อสร้างนครรัฐ และหอคอยซึ่งมียอดตระหง่านสูงจรดสวรรค์...
ให้พวกเรามี Shem เป็นของเราเอง เพื่อมิให้เผ่าพันธุ์กระจัดกระจายไปทั่วโลกอย่างมิเป็นกลุ่มก้อน...พฤติกรรมของมนุษย์ครั้งนี้ไม่เป็นที่สบพระทัยของพระเจ้าเท่าใดนัก เรื่องของหอคอยคนบาปในไบเบิลลงเอยอย่างไรคุณคงรู้ดีอยู่แล้ว ส่วนในตำนานของชาวสุเมเรียนอันเป็นต้นฉบับของไบเบิลฉบับพันธสัญญาเก่านั้น กล่าวว่า Anunnaki หรือเทพเจ้าผู้เสด็จลงมาจากท้องฟ้าต่างกริ้วโกรธมนุษย์ โปรเจ็คบาเบลพังครืนไม่เป็นท่าด้วยฤทธิ์ของเทพเจ้า ลูกหลานแห่งอาดัม(มนุษย์)แตกกระจายออกเป็นกลุ่มย่อยอีกครั้งหนึ่งภายใต้การสำทับจาก Anunnaki ว่า

“Behold, all are as one people…..with one language, and this is just the beginnings of their undertakings…..now anything which they shall scheme to do….shall no longer be impossible for them.”



เรื่องของหอคอยบาเบลยังมีบันทึกไว้ในตำนานของอีกหลายชนชาติ เช่นบันทึกช่วยจำของนักปราชญ์ชาวกรีกชื่อเบรอสซัสผู้มีชีวิตอยู่ราวสองพันปีก่อน รวมทั้งเวอร์ชั่นเก่าแก่ที่ทุกคนรู้จักกันดีคือเวอร์ชั่นของบาบิโลเนียน(ปัจจุบันถูกเก็บรักษาใน British Museum ประเทศอังกฤษ)
นักวิชาการด้านศาสนาบาบิโลเนียนชื่อ A.H. Sayce ให้ความเห็นว่า "โดยพื้นฐานแล้ว ตำนานหอคอยบาเบลในหลายชนชาติมีพื้นฐานที่ใกล้เคียงกัน เช่นเรื่องราวของมนุษย์ผู้พยายามจะปีนป่ายให้ถึงสรวงสวรรค์ ต้นเหตุแห่งภาษาอันแตกต่างของมนุษยชาติ มีข้อน่าสังเกตบางประการคือ ในเวอร์ชั่นอื่นนั้น ความวิบัติของมนุษย์เกิดขึ้นอย่างฉับพลันเพราะเพลิงพิโรธแห่งเทพเจ้า แต่ในเวอร์ชั่นของสุเมเรียนนั้นภัยพิบัติดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นอย่างปุบปับตามอารมณ์ หากแต่ถูกเตรียมการมาอย่างยาวนานโดยเทพเจ้าและทำการลงมือเมื่อหอคอยคนบาปนั้นสร้างจวนสำเร็จ"
...มีความเป็นไปได้ว่ามนุษยชาติในตอนนั้นยังไม่มีเทคโนโลยีบางอย่างเป็นของตนเอง เช่น เทคโนโลยีด้านการบิน ตำนานโบราณก็บอกกับเราอย่างชัดแจ้งแล้วว่าหลายต่อหลายอย่างของอารยธรรมมนุษย์ล้วนขึ้นอยู่กับความช่วยเหลือของเทพเจ้า ในขณะที่เทพเจ้าก็ต้องพึ่งมนุษย์อยู่ในหลายๆด้าน ปัญหาก็คือด้วยเทคโนโลยีของมนุษย์เพียวๆนั้นคงเอาอะไรไปท้าทายอำนาจเทพเจ้าไม่ได้แน่ๆ หรือว่าในหมู่เทพเจ้าด้วยกันเองนั้น มีอยู่บางองค์หรือบางกลุ่มที่คอยให้การหนุนหลังมนุษยชาติอยู่อย่างลับๆ
หลักฐานที่ชวนให้คิดก็คือภาพในจารึกของชาวสุเมเรียนที่แสดงให้เห็นถึงการเผชิญหน้ากันระหว่างกองทัพของพระเจ้า โดยมีหอคอยที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเป็นสมรภูมิรบเราไม่สามารถสรุปชัดเจนลงไปได้หรอกครับ เพราะหลักฐานค่อนข้างคลุมเครือ แต่ที่แน่นอนที่สุดก็คือในทุกเวอร์ชั่นของตำนานแห่งหอคอยบาเบลกล่าวตรงกันว่า เทคโนโลยีด้านการบินมีไว้สำหรับเทพเจ้าไม่ใช่สำหรับมนุษย์ (คนโบราณเคารพอากาศยานเหล่านั้นเสมือนหนึ่งเทพเจ้า เป็นไปได้ไหมว่าบัญญัติประการแรกในไบเบิลคือห้ามสร้างรูปเคารพของพระเจ้านั้น แท้ที่จริงกลายความมาจาก "ห้ามสูเจ้าสร้างอากาศยานใดๆเป็นอันขาด")
..ทั้งในไบเบิลและจารึกสุเมเรียนต่างยืนยันตรงกันว่า สิทธิ์ในการเดินทางสู่ดินแดนที่อยู่เหนือท้องฟ้าขึ้นไปของมนุษย์นั้น ต้องได้รับการอนุญาตเป็นกรณีพิเศษจากเทพเจ้าเสียก่อน ตัวอย่างของการเดินทางสู่ห้วงอวกาศที่เรารู้จักกันดีก็เช่น เรื่องราวของอีนอชและการขึ้นสวรรค์ของศาสดาพยากรณ์เอไลจาห์ตำนานสุเมเรียนโบราณกล่าวถึงมนุษย์ธรรมดาที่ได้รับสิทธิ์ในการเดินทางสู่สวรรค์ด้วยเช่นกันครับ มี Adapa (เป็นภาษาสุเมเรียนหมายถึงมนุษย์) ซึ่งถูกสร้างโดยเทพ EA/Enki ผู้หนึ่งได้รับสิทธิ์จากเทพองค์นี้ให้โดยสาร Shem ของ Enki เดินทางไปยังอาณาจักรของ Anu ที่อยู่บนสวรรค์ โดยปกติแล้วมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยเทพโบราณจะได้รับทุกอย่างอันเป็นสมบัติของเทพเจ้า เช่น รูปร่างหน้าตา ความรู้ ฯลฯ เว้นอยู่อย่างเดียวที่ถือว่าเป็นสมบัติเฉพาะของเทพเจ้าเท่านั้นคือความเป็นอมตะ
เมื่อเวลาล่วงเลยไป Enki ทรงเปลี่ยนพระทัยอยากให้มนุษย์อันเป็นเสมือนหนึ่งบุตรหลานของตนได้รับชีวิตอันอมตะบ้าง จึงส่งมนุษย์โดยสารไปกับ Shem ส่วนตัวเพื่อมีส่วนร่วมในการรับ ขนมปังแห่งชีวิตกับน้ำแห่งชีวิตบนสวรรค์ เมื่อยานของ Adapa ทั้งหลายเข้าสู่ชั้นบรรยากาศแห่งสวรรค์ บิดรเทพ Anu ประหลาดใจและสอบถามเทพบริวารว่าผู้ใดกันที่บังอาจให้สิทธิ์แก่มนุษย์เหล่านั้นในการโดยสาร Shem ขึ้นมาจากโลกจนถึงอาณาจักรของพระองค์ได้

Chapter Five: THE NEFILIM,People of The Fiery Rockets (ต่อ)

Gateway of the Gods
งานเขียนของชาวบาบิโลเนียนโบราณที่รู้จักกันในชื่อภาษาอังกฤษว่า Epic of Creation กล่าวถึงประตูหรือช่องทางแห่งพระเจ้าว่า มันถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในกรุงบาบิโลนโดยคำสั่งของเทพสูงสุดซึ่งสั่งลงมายังเหล่าเทพบริวารให้ "จงสร้างประตูแห่งพระเจ้า ประดับประดาด้วยอิฐหนาที่สวยงาม Shem ของเราจะอยู่ในที่ที่กำหนดไว้" เห็นไหมครับ ลักษณะเหมือนสนามบินสำหรับลงจอดยังไงพิลึก ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่มนุษย์อยากมีสิ่งก่อสร้างนี้เป็นของพวกตนบ้าง โดยการสร้างหอคอยขนาดยักษ์ในที่ๆเทพเจ้าของพวกเขาเคยใช้เป็นสนามบิน ข้อสนับสนุนอย่างหนึ่งก็คือมนุษย์ตั้งชื่อให้หอคอยแห่งนี้ว่า Babilli อันเป็นภาษาบาบิโลเนียนโบราณที่แปลว่าประตูแห่งเทพเจ้า (Gateway of the Gods)

Gilgameshเจ้าประตูแห่งเทพเจ้า
นี่แหละครับที่มนุษย์บางคนต้องผ่านมันไปให้ได้ เพื่อจะได้พบกับสิ่งที่เป็นความลับแห่งอายุขัยอันอมตะของเทพเจ้า สิ่งนั้นคือต้นมาน่า เอ๊ย... ต้นไม้แห่งชีวิต (Tree of Life) ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้มีกล่าวถึงในมหากาพย์ยิ่งใหญ่ของโลกเรื่องหนึ่ง เป็นมหากาพย์ที่เก่าแก่ที่สุดซึ่งรจนาขึ้นโดยชาวสุเมเรียนโบราณ มหากาพย์เรื่องนั้นมีชื่อว่า The Epic of Gilgamesh



วีรบุรุษในมหากาพย์เรื่องแรกของโลก กิลกาเมชกิลกาเมชเป็นผู้ปกครองนคร Uruk เขาเกิดจากบิดาที่เป็นมนุษย์ธรรมดากับมารดาซึ่งมีสายเลือดเทพจึงทำให้วีรบุรุษผู้นี้มีเลือดเทพเจ้าในกาย 2 ส่วน และเลือดของสามัญมนุษย์อีก 1 ส่วน
แม้จะมีพละกำลังกับความกล้าเหนือปุถุชนทั่วไป แต่กิลกาเมชก็หนีชะตามกรรมหนึ่งซึ่งมนุษย์ทุกรูปทุกนามต้องเผชิญไม่ได้ นั่นคือชะตากรรมแห่งความตายกิลกาเมชนึกถึงบรรพบุรุษคนหนึ่งของเขาอุทนาปิชทิม (Uthapishtim)
โนอาห์ในเวอร์ชั่นสุเมเรียน วีรบุรุษผู้รอดตายจากน้ำท่วมโลกครั้งใหญ่ ตามตำนานกล่าวว่าอุทนาปิชทิมพร้อมภรรยาได้เดินทางสู่สวรรค์หลังน้ำท่วมโลกในคราวกระโน้น กิลกาเมชตัดสินใจตามไปที่นั่นเพื่อขอความลับของชีวิตอมตะจากบรรพบุรุษของเขาสวรรค์ไม่มีรถเมล์สายใดวิ่งผ่าน ไม่ใช่ที่ที่ใครนึกจะไปก็ไปได้ ในการเดินทางไกลครั้งนี้กิลกาเมชจำเป็นต้องมีพาหนะในการเดินทาง เขาและเพื่อนร่วมทางชื่อเอนกิดูรอนแรมไปตั้งต้นที่ดินแดนTilmun เพื่อที่จะนำ Shem เดินทางสู่สรวงสวรรค์ของ Anu ด้วยตนเอง (มาถึงตรงนี้คงไม่ต้องย้ำซ้ำอีกนะครับว่า Shem ในที่นี้หมายถึงพาหนะไม่ได้หมายถึงชื่อ-name อย่างที่นักแปลไบเบิลแปลกันมา)
รายละเอียดของมหากาพย์เรื่องนี้คุณคงต้องไปหาอ่านเพิ่มเอาเอง(เพราะผมจะไม่เล่า ^^)
กิลกาเมชเป็นบุรุษที่นอกจากจะมีพละกำลังมาแต่กำเนิดแล้วเขายังมีความฉลาดล้ำเกินคน จากดินแดน Tilmun จนถึงที่พำนักของ Anu นั้นกินระยะทางยาวไกลมาก
ระหว่างการเดินทางพระเอกของเราต้องเผชิญอุปสรรคมากมายทั้งจากเทพและมาร เอาเป็นว่าจุดที่เราจะกล่าวถึงเป็นตอนที่กิลกาเมชเดินทางมาถึงสวนแห่งหนึ่ง ที่ซึ่งเต็มไปด้วยพืชพันธุ์แลสิ่งมีชีวิตอันน่าพิศวง อุทนาปิชทิม(หรือ Noah ในเวอร์ชั่นไบเบิล)
บรรพบุรุษของกิลกาเมชก็อาศัยอยู่ที่นั่นด้วยอุทนาปิชทิมบอกแก่ลูกหลานของเขาว่าเป็นไปไม่ได้ที่สิ่งมีชีวิตใดๆจะคงความอมตะไม่ตายไปชั่วกาลนาน ความตายคือชะตากรรมที่มนุษย์ไม่มีทางเลี่ยง ถึงอย่างไรอุทนาปิชทิมก็ไม่ใจร้ายเกินไปนัก เขาเสนอให้กิลกาเมชลองหาวิธีอื่นมาทดแทน แน่ล่ะครับความตายต้องมาเยือนมนุษย์ทุกคนไม่วันใดก็วันหนึ่ง ในเมื่อหนีไม่พ้นก็ไม่ต้องไปวิ่งหนีมันหรอก แค่ชะลอมันลงให้มาถึงช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็พอแล้ว
กิลกาเมชได้รับคำบอกใบ้ถึงที่ตั้งของต้นไม้แห่งความเยาว์วัย (Plant of Youth) ซึ่งมีสรรพคุณทำให้มนุษย์คงความเยาว์วัยได้แม้อายุจะล่วงเลยไปเท่าใดก็ตาม(แต่มิได้หมายความว่าทำให้เป็นอมตะ)