The 12th Planet - ตอนที่ 1
Chapter One: THE ENDLESS BEGINNING
วิวัฒนาการประเภทไหน?
ทุกคนคงเคยได้ยินกฏของมัวร์ที่ว่าด้วยการเพิ่มของความเร็ว CPU แม้ว่ากฏนี้จะถูกคิดขึ้นเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว ปัจจุบันกฏนี้ก็ยังกล้อมแกล้มไปได้อยู่ วิวัฒนาการของมนุษย์ก็เช่นกันครับ หากคำนวณจากระยะเวลานับตั้งแต่มนุษย์คนแรกอุบัติขึ้นบนพื้นพิภพ ปัจจุบันพวกเราน่าจะมีความก้าวหน้าพอๆกับเผ่าบุชเมน คนป่าเผ่าหนึ่งในอาฟริกา ไม่ใช่ยุคซิลิกอนชิปครองโลกอย่างทุกวันนี้
ตำราทางมานุษยวิทยาอนุมานเอาไว้ว่ามนุษย์ใช้เวลาประมาณ 2 ล้านปีในการก้าวสู่ยุคอุตสาหกรรมหิน รู้จักใช้เครื่องมือที่ทำมาจากหิน โดยเฉพาะอาวุธหินและกระดูกสัตว์ซึ่งใช้ประโยชน์สำหรับการล่าสัตว์เพื่อยังชีพ 2 ล้านปีกว่าที่มนุษย์จะเริ่มรู้จักใช้ความคมของแง่งหินมาหั่นเนื้อ เฉือนไม้ เซาะดิน หรืออะไรก็ตามแต่ที่พวกเขาต้องการจะทำ ดูจากสเกลนี้ ทำไมมนุษย์จึงไม่ใช้เวลาอีก 2 ล้านปีก้าวเข้าสู่ยุคสัมฤทธิ์และยุคโลหะ และอีก 10 ล้านปีเพื่อความชำนาญการด้านคณิตศาสตร์ เครื่องกล และดาราศาสตร์ตามสเกลที่มันควรจะเป็น
สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นวิวัฒนาการที่มหัศจรรย์เหลือจะกล่าว เราใช้เวลาน้อยกว่า 5 หมื่นปีด้วยซ้ำจากยุคของมนุษย์ถ้ำนีแอนเดอร์ธัลแมนมาสู่ยุคของการส่งนักบินอวกาศขึ้นไปเดินเล่นบนดวงจันทร์


บน: ภาพที่ยังคงเถียงกันมาถึงทุกวันนี้ว่าถ่ายบนดวงจันทร์จริงหรือไม่ ล่าง: กระท่อมของชาวบุชเมน
อารยธรรมแบบปุบปับ
ตอนที่นโปเลียนมาถึงอียิปต์ในปี 1799 ท่านจอมคนได้นำนักปราชญ์ราชบัณฑิตติดมาด้วยเข่งหนึ่ง เพื่อที่จะทำการศึกษาโบราณสถานของอียิปต์ อันได้แก่หมู่ปิระมิด เมืองโบราณซึ่งจมอยู่ใต้กองทราย สัตว์ผู้พิทักษ์รูปร่างประหลาดที่เรียกกันว่าสฟิงซ์ หนึ่งในทีมสำรวจค้นพบศิลาโบราณใกล้ๆเมืองโรเซตตา อายุของศิลาหลักนี้นับย้อนหลังไปถึง 200 ปีก่อนคริสตกาล เหล่านักปราชญ์รู้สึกประหลาดใจกับอักขระไฮโรกลิฟิกที่จากรึกอยู่บนนั้น และเมื่อสำรวจต่อไปพวกเขาก็พบศิลาโบราณเพิ่มเติมอีกสองหลัก
ความมหัศจรรย์ของภาษาโบราณแห่งอียิปต์ที่ไม่มีใครอ่านออก(ในตอนนั้น) ทำให้เริ่มมีการสำรวจพื้นที่อย่างเอาจริงเอาจัง เหล่าผู้พิชิตจากยุโรปเริ่มตระหนักว่าอารยธรรมบนแผ่นดินไอยคุปต์ มีอายุยาวนานกว่าอารยธรรมกรีกที่พวกเขาภูมิใจนักหนาเสียอีก บันทึกประวัติศาสตร์ของอียิปต์เองก็เริ่มต้นราชวงศ์แรกเมื่อ 3100 ปีก่อนคริสตกาล สองสหัสวรรษเต็มๆก่อนยุครุ่งเรืองของอารยธรรมเฮลเลนิคในยุโรป ซึ่งยังต้องใช้เวลาอีก 4-5 ศตวรรษกว่าจะมาถึงจุดที่เรียกได้ว่าเจริญสูงสุดอย่างแท้จริง
ด้วยความเก่าแก่นี้ หรืออียิปต์จะเป็นจุดกำเนิดแห่งอารยธรรมของมนุษยชาติ?

ภาพหมู่บ้านบริเวณโรเซตตา วาดโดย Luigi Mayer
ตอนแรกใครๆก็คิดอย่างนั้น จนกระทั่งเวลาต่อมานักโบราณคดีได้รู้จักดินแดนในตะวันออกกลาง นับระยะทางแล้วก็ไม่ใกล้ไม่ไกลจากอียิปต์เลย ดินแดนแห่งนั้นรู้จักกันในนามของซูเมอร์ (Sumer) ชื่ออื่นๆที่ใช้เรียกกันก็มี Sumer, Shumer, Sumeria และ Southern Mesopotamia ครับ
ดินแดนนี้เป็นต้นกำเนิดของอารยธรรมมากมายต่อเนื่องกันมา ที่พวกเราคุ้นหูกันก็ได้แค่ อารยธรรมสุเมเรียน อัคเคเดียน บาบิโลเนียน เป็นต้น อารยธรรมเหล่านี้เจริญรุ่งเรืองไม่แพ้ที่อียิปต์เลย พวกเขามีภาษาพูดภาษาเขียนเป็นของตนเอง โดยเฉพาะภาษาเขียนที่จารึกไว้บนแผ่นดินเหนียวหรือคิวนิฟอร์มของพวกเขานี่แหละครับ ที่ทำให้เราแกะรอยย้อนเวลาไปสู่ความรุ่งเรืองแต่ครั้งนั้นของพวกเขาได้
หนึ่งในการค้นพบจารึกโบราณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแวดวงโบราณคดีได้แก่ การค้นพบห้องสมุดที่นิเนเวห์(Nineveh) นักโบราณคดีพบจารึกดินเหนียวมากกว่า 25,000 ชิ้น ในบรรดาจารึกเหล่านั้นมีไม่น้อยเหมือนกันที่ระบุเอาไว้ว่า เนื้อหาทั้งหลายไม่ได้มาจากสมองของคนเชียนหรอก หากแต่คัดลอกจากเอกสารโบราณของบรรพบุรุษอีกต่อหนึ่ง ฮ่วย... อารยธรรม Sumer นี่ว่าเก่าพอดูอยู่แล้วยังมีอารยธรรมไหนที่เก่าไปกว่านี้อีกเรอะ?
มีแผ่นจารึกอยู่ราว 20 แผ่นที่มีหมายเหตุกำกับเอาไว้เป็นภาษาโบราณแปลออกมาได้ทำนองนี้ครับ
23rd tablet: language of Shumer not changed..... Except for mispronouncing the name
ถูกต้องแล้วครับ ชื่อที่แท้จริงของดินแดนนี้ควรอ่านว่าชูเมอร์ไม่ใช่ซูเมอร์ มีเรื่องติดตลกจะเล่าให้ฟังนิดหน่อยคือ เมื่อก่อนนี้นักโบราณคดีสับสนมากครับ ว่าอารยธรรมที่พวกเขาค้นพบในดินแดนเมโสโปเตเมียโบราณนั้น ชนชาติที่เป็นเจ้าของอารยธรรมคือใคร พวกเขาสืบสายพันธุ์มาจากมนุษย์วงศ์ไหน เหตุใดจึงรุ่งเรืองขึ้นมาอย่างกระทันหันและล่มสลายไปอย่างปุบปับเช่นนั้นเล่า ช่วงแรกๆของการศึกษาอารยธรรม Sumer นั้น นักโบราณคดีตีอกชกหัวไปตามๆกัน เนื่องจากรื้อก็แล้ว ขุดก็แล้ว สอบถามคนเก่าคนแก่ก็แล้ว พวกเขาไม่เจอเอกสารที่กล่าวถึงที่มาชนชาติสุเมเรียนเลยครับ (อันนี้เป็นเหตุการณ์ในยุโรปช่วงนั้นเน้อ ^^)
โทษใครไม่ได้หรอกงานนี้ ก็เล่นค้นไม่ถูกจุดเองนี่ ความจริง Sumer ไม่ใช่ดินแดนปริศนาอะไรเลย ในเอกสารเก่าแก่อย่างไบเบิลได้ระบุถึงดินแดนนี้อย่างชัดเจนในฐานะที่ตั้งเมืองหลวงของชาวบาบิโลน, อัคเคด และอีเรช ไบเบิลระบุชื่อของดินแดนเอาไว้ว่า The Land of Shi'ar หรือ Shinar ครับ
การขุดค้นโบราณสถานครั้งสำคัญของอารยธรรมสุเมเรียนเริ่มขึ้นในปี 1877 โดยนักโบราณคดีชาวฝรั่งเศส ผลจากการขุดค้นทำให้ต้องมีการสำรวจเพิ่มเติมอย่างมโหฬาร อะโห! พื้นที่ของอาณาจักรนี้ไม่ใช่เล็กๆเลยครับ จากไซต์สู่ไซต์ จากเมืองแรกสู่เมืองที่สอง สร้างความพิศวงงงงวยแก่ทีมสำรวจเป็นล้นเหลือ โปรเจ็คนี้ยุติลงในปี 1933 ทั้งที่ยังเหลืองานที่ต้องสำรวจอยู่อีกเยอะ แต่แน่ล่ะ ทีมสำรวจไม่ได้มีทีมเดียวนี่ครับ นักโบราณคดีในสังกัดอื่นยังคงทำงานของพวกเขาอย่างไม่ย่อท้อ พวกเขาไม่กลัวความเหน็ดเหนื่อยใดๆนอกจากกลัวตาย ก็จะไม่ให้กลัวได้ไงล่ะครับ อาณาบริเวณของ Sumer กินดินแดนครอบคลุมทั้ง อิหร่าน อิรัก จอร์แดน ตุรกี ซึ่งระอุด้วยไฟสงครามมาแต่ไหนแต่ไร ถ้าคุณเชื่ออย่างที่ผมเชื่อ เราอาจสรุปได้ว่า ดินแดนแห่งนี้มีอาถรรพ์ เพราะรบพุ่งกันตลอดไม่เคยหยุดนับจากปัจจุบันย้อนไปจนถึงยุคสมัยแห่งพระเจ้ากันเลยทีเดียว
Zecharia Sitchin เป็นหนึ่งในผู้กล้าไม่กี่คนที่ยอมเสี่ยงชีวิตในการสำรวจดินแดนนั้น คุณปู่แกเป็นเก่งครับ เรียกว่าปราชญ์ด้านภาษาโบราณคนหนึ่งเลยทีเดียว Sitchin ทำการศึกษาโบราณสถาน, แผ่นจารึกที่เรียกว่า Seals, เอกสารที่เขียนด้วยอักษรลิ่ม(Cuneiform)จนแตกฉาน Sitchin เริ่มต้นงานอย่างนักโบราณคดีสมัครเล่นจนก้าวสู่มืออาชีพ Sitchin อดพิศวงกับนิสัยช่างจดบันทึกของชาวสุเมเรียนไม่ได้ เพราะชนชาตินี้บันทึกอะไรเอาไว้แบบจิปาถะเสียจริงๆเมื่อเทียบกับอารยธรรมอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีภาษาเขียนไว้เพื่อจดจารงานสำคัญเช่น คำสอนทางศาสนา หรือตัวบทกฏหมายเท่านั้น
แต่ชาว Sumer เล่นบันทึกเอาไว้แทบทุกอย่างแม้กระทั่งตำราทำกับข้าว และนี่คือตัวอย่าง...
ความรุ่งเรืองแห่งอาณาจักรสุเมเรียน
บันทึกของคนโบราณเหล่านี้แสดงให้เห็นความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมของพวกเขา มันสร้างความตื่นใจให้กับนักโบราณคดีไม่แพ้ซิกกูรัตหรือโบราณสถานอื่นๆ นักโบราณคดีบางคนกล่าวไว้อย่างน่าฟังครับว่า การศึกษาอารยธรรมในดินแดนแถบนั้นเหมือนการค้นพบภูเขาน้ำแข็งในทะเล เริ่มแรกเห็นแต่ยอดกระจิ๋วที่ลอยปริ่มอยู่เหนือน้ำ ครั้นพอสำรวจเข้าจริงๆก็พบว่าความจริงแล้วเนื้อที่อันมหึมาของมันซ่อนอยู่ใต้น้ำต่างหาก
ในฐานะอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดบนผืนพิภพ สุเมเรียนไม่เพียงแต่มีสถาปัตยกรรมอันน่าพิศวง แต่ภาพวาดและงานเขียนของพวกเขาก็น่าทึ่งไม่แพ้กัน โดยเฉพาะภาพประดิษฐ์ที่ทำเป็นตราสัญลักษณ์หรือผนึก(Cylinder Seal)นั้น นอกจากจะแสดงถึงตัวตนของพวกเขา ยังเป็นสัญลักษณ์ทางจิตวิญญาณของมนุษย์ชาติพันธุ์นี้อีกด้วย
โดยปกติแล้วงานศิลปะของมนุษย์ยุคโบราณจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของศาสนาอย่างแยกกันไม่ออก ชาวสุเมเรียนไม่เพียงแต่สร้างงานทางศาสนาเท่านั้น พวกเขายังมีศิลปะที่บอกเล่าถึงการเกษตร การรังวัดที่ดิน การคำนวณราคาของผลผลิต ซึ่งแสดงถึงความรู้ทางคณิตศาสตร์อันสูงส่งของพวกเขา ตัวอย่างของความรุ่งเรืองแห่งอาณาจักรสุเมเรียนได้แก่
การคิดค้นอิฐเผาสำหรับก่อสร้าง
อุตสาหกรรมเครื่องทอขนาดใหญ่
การเก็บเกี่ยวและถนอมผลผลิตทางการเกษตร
ศิละในการประกอบอาหาร ซึ่งจากดูจากวิธีทำและส่วนผสมแล้ว
...แสดงว่าชนชาตินี้มีรสนิยมในการกินอยู่ไม่น้อยเชียวครับ
พูดถึงอาหารแล้ว หากมีใครถามคุณว่าตำราประกอบอาหารที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยพบมาอยู่ที่ไหน ตอบเค้าไปอย่างมั่นใจเลยครับว่าพบในเมโสโปเตเมียนี่แหละ เป็นตำราที่มีชื่อว่า coq au vin (ดูจากชื่อแล้วเหมือน Cook with Wine ไหมครับ?) ขอยกเนื้อหาส่วนหนึ่งมาให้ลองอ่านละกัน ว่าชนชาติสุเมเรียนเค้าละเมียดละไมกันแค่ไหน ขนาดตำราทำอาหารยังเขียนออกมาเป็นโคลงเลยครับ

In the wine of drinking,
In the scented water,
In the oil of unction -
This bird have I cooked,
and have eaten
ไม่น่าเชื่อว่าอาหารขึ้นชื่อในปัจจุบัน ชาวสุเมเรียนเค้าทำกินกันเป็นแล้วเมื่อหลายพันปีก่อน
หมายเหตุ หลักฐานความรุ่งเรืองของชนชาตินี้ผมเคยเขียนไปแล้วส่วนหนึ่งใน พระเจ้าจากอวกาศ และ Ancient Astronaut Revivsit ครับ ใครยังไม่เคยอ่านหรืออยากทบทวนความหลังก็คลิกเข้าไปอ่านได้เลย
เอ้า เรามาต่อเรื่องของเรากันดีกว่า...
ชาวสุเมเรียนยังเป็นชนชาติแรกที่เริ่มทำการค้าขาย พวกเขารู้จักการเดินทะเล การประมง ปกติคนโบราณจะแสยงกับทะเลมากครับ เพราะเชื่อว่าโลกแบนขืนแล่นเรือไปไกลจะพาลตกขอบทะเลเอาเสียเปล่า แต่ชาวสุเมเรียนไม่อย่างนั้นครับ พวกเขาไปกันไกลที่สุดเท่าที่เรือจะพาพวกเขาไปได้ มีการดำน้ำเพื่อลงไปค้นหาทรัพยากรแปลกๆ สำรวจเกาะแก่งที่ยังไปไม่ถึง เพื่อค้นหาแร่ธาตุ โลหะ หิน หรือแม้กระทั่งพันธุ์ไม้ที่หาไม่ได้ในดินแดนของพวกเขา

ภาพจำลองเทวสถานในยามเย็นของชาวสุเมเรียน งดงามและคงความขลังน่าประทับใจเป็นยิ่งนัก
Samuel N. Kramer หนึ่งในนักสุเมเรียนวิทยา(Sumerologist) ได้แจงรายละเอียดของความเป็นผู้ริเริ่มในกิจกรรมต่างๆ ซึ่งตกทอดมาสู่สังคมของเราในยุคปัจจุบันไว้มากมาย ลองดูตัวอย่างเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ แล้วคิดให้ดีๆนะครับว่า คนโบราณที่ดำรงชีวิตอยู่เมื่อเกือบหมื่นปีที่แล้วพวกนี้ เค้าเจริญก้าวหน้ากันผิดยุคขนาดไหน ความเป็นเจ้าแรกหรือผู้ริเริ่มของชาวสุเมเรียนเท่าที่เราค้นพบกันนั้นได้แก่
ี
โรงเรียนหรือสถานศึกษาเป็นเจ้าแรก(ของโลก เท่าที่เรามีหลักฐานกันน่ะนะครับ)
มีสภานิติบัญญัติอันประกอบด้วยฝ่ายบริหารและฝ่ายค้านเป็นเจ้าแรก
มีนักประวัติศาสตร์และการเขียนประวัติศาสตร์เป็นเจ้าแรก
มีตำราเภสัชกรรมเป็นเจ้าแรก
มีตารางกิจกรรมทางการเกษตรตลอดปีเป็นเจ้าแรก
ศึกษาเรื่องจักรวาลวิทยาและโหราศาสตร์ที่เกี่ยวพันกับดวงดาวเป็นเจ้าแรก
มีการจ้างงานและค่าตอบแทนแรงงานในสังคมเป็นครั้งแรกของโลก
มีการบันทึกสุภาษิตและสุนทรพจน์
มีการถกประเด็นต่างๆในห้องสมุดหลวงเป็นเจ้าแรก (โปรดนึกถึงรายการถึงลูกถึงคนเมื่อหลายพันปีก่อน)
เรื่องราวของน้ำท่วมโลกและวีรบุรุษสไตล์โนอาห์มีเล่าอยู่ทั่วทุกมุมโลก แต่ที่เก่าแก่ที่สุดอยู่ที่นี่ครับ
มีบัญญัติกฏหมายและการจัดระเบียบทางสังคมเป็นเจ้าแรก (ต้นฉบับเค้าใช้คำว่า Social Reform หรอก ^^)
และอื่นๆอีกมากมาย
สิ่งเหล่านี้ยังคงตกทอดมาถึงพวกเราในยุคปัจจุบัน เราแบ่งโลกออกเป็น 360 องศาตามแบบสุเมเรียน, นับเวลาด้วยชั่วโมงและนาทีตามแบบของพวกเขา ยกเว้นระยะเวลาของการดำรงอยู่บนโลกซึ่งแตกต่างกันแล้ว อาจกล่าวได้ว่า เราและเขาไม่มีอะไรที่แตกต่างกันเลย
Chapter Two: The Almighty God Enki
ในปี 1919 กระทาชายนาม H. R. Hall เดินทางมาถึงซากปรักหักพังของโบราณสถานใกล้หมู่บ้านที่เรียกกันว่า เอล-ยูเบด ชื่อของไซต์นี้ถูกตั้งขึ้นตามนักปราชญ์โบราณซึ่งกล่าวอ้างถึงอารยธรรมสุเมเรียนเป็นคนแรก นครของสุเมเรียนสมัยนั้นกินอาณาบริเวณจากเมโสโปเตเมียตอนเหนือจรดตีนเขาซากรอนในตอนใต้ เป็นผู้ริเริ่มการทำอิฐเผา กำแพงฉาบปูน ภาพประดับแบบโมเสค สุสานหลวงที่ประดับประดาอย่างสวยงาม มีการใช้กระจกเงาที่ทำจากทองแดงขัด ผลิตภัณฑ์จากอัญมณีนานาชนิด มีการผลิตเครื่องทอ เครื่องเรือน และเหนืออื่นใดมีการสร้างอนุสรณ์สถานที่ยิ่งใหญ่จนยากจะเชื่อว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่มาจากฝีมือของคนโบราณเมื่อครั้งกระโน้น

ซ้าย: Enki เทพโบราณผู้ถุกยกย่องให้เป็นเทพเจ้าแห่งความรู้และปัญญา ขวา: จิตรกรรมฝาผังในซูเมอร์
ไกลออกไปทางตอนใต้ นักโบราณคดีค้นพบเอริดู นครแห่งแรกของชาวสุเมเรียน(ตามที่เคยมีอ้างอิงไว้ในเอกสารโบราณ) ขุดกันอย่างบ้าเลือดพักหนึ่งพวกเขาได้พบกับวิหารโบราณ ซึ่งจารึกเอาไว้ว่าสร้างเพื่ออุทิศแด่เทพเอนกิ (Enki) เทพเจ้าแห่งความรู้ของซูเมอร์ วิหารแห่งนี้มีลักษณะคล้ายกรุงทรอยอยู่ประการหนึ่งครับ คือมันถูกสร้างถูกบูรณะทับของเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก ผลจากการศึกษาทำให้นักโบราณคดีย้อนอายุของอารยธรรมสุเมเรียนจากร่องรอยของการบูรณะวิหารแห่งนี้ไปจนถึง 2500, 2800, 3000 และ 3500 ก่อนคริสตกาลตามลำดับ
พวกเขาขุดจนกระดั่งถึงดินชั้นล่างสุด ซึ่งเป็นดินบริสุทธิ์ไม่มีร่องรอยสิ่งก่อสร้างใดๆ อายุของดินชั้นนั้นอยู่ที่ประมาณ 3800 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งเราอาจสรุปผลจากการสำรวจนี้ว่าอารยธรรมสุเมเรียนน่าจะรุ่งเรืองขึ้นในช่วงนั้น

ไซต์ทางโบราณคดีที่ Uruk ประเทศอิรัก สนใจก็บินไปดูได้นะครับ ^^
"นี่ไม่เป็นเพียงอารยธรรมแรกที่พวกเราตัดสินได้จากสามัญสำนึกเท่านั้น หากแต่ยังมีผลแตกแขนงให้กับอารยธรรมอื่นทั่วทุกมุมโลก มันน่ามหัศจรรย์ตรงที่ว่า ชาวซูเมอร์ไม่เพียงแต่มีความเจริญรุ่งเรืองในท้องถิ่นของตนเท่านั้น พวกเขายังคงทิ้งร่องรอยความรุ่งเรืองเหล่านี้ไว้ตามอารยธรรมอื่นๆแม้กระทั่งอารยธรรมของมนุษย์ยุคใหม่ในศตวรรษที่ 20" นายโซนิคเว็บมาสเตอร์เล็กๆในประเทศไทยกล่าวด้วยความอยากมีส่วนร่วมในการค้นพบที่น่าทึ่งครั้งนี้
เริ่มต้นจากการรู้จักใช้เครื่องมือจากหินเมื่อ 2 ล้านปีก่อน และธำรงชีวิตอย่างลุ่มๆดอนๆมาจนกระทั่งอารยธรรมสุเมเรียนผุดขึ้นมาเมื่อประมาณ 3800 ปีก่อนคริสตกาล มันเรืองโรจน์เสียจนนักโบราณคดีประหลาดใจไปตามๆกัน ไม่มีร่องรอยของการวิวัฒน์ให้สืบสาว ไม่มีใครรู้ว่ามนุษย์พวกนี้ไปเอาความรู้ที่ไม่มีร่องรอยของการสั่งสมเหล่านี้มาจากที่ใด จากใคร และเอามาตั้งแต่เมื่อไหร่
...เหมือนกับจู่ๆอารยธรรมนี้ก็ผุดขึ้นบนโลกมนุษย์ของเราเสียอย่างนั้นแหละครับ
Chapter Three: The Importance of Number 12
พูดถึงเลข 12 แล้วคุณคงอดคิดถึงเหล่าเทพแห่งราชวงศ์โอลิมปัสของกรีกไม่ได้ ผมว่าเป็นไอเดียที่ดีหากคุณจะคิดถึงเรื่องดังกล่าวนี้เมื่อเราพูดถึงเลข 12 ว่าแต่เทพราชวงศ์โอลิมปัสมีความสำคัญอย่างไร ทำไมผมต้องเอามากล่าวอ้างทั้งที่ตอนนี้เรากำลังพูดถึงเรื่องของชาวสุเรียนกันอยู่

ซ้าย: ภาพน่าสนใจจากหนังสือ DevineEncouters ของ Zecharia Sitchin
ขวา: รูปปั้นของเทพเจ้าที่พบในโบราณสถานที่ U-Baid ประเทศอิรัก หน้าตาประหลาดแล้วยังสวมหมวกทรงประหลาดอีกแน่ะ ^^
จะว่าไม่สำคัญก็ไม่เชิงนะ สังเกตไหมครับว่าเทพเจ้าของชาวกรีกมีอารมณ์ โทสะ และราคะไม่แตกต่างไปจากมนุษย์เลย มิหนำซ้ำจากประวัติศาสตร์อันยาวนานของอารยธรรมกรีก ชาวกรีกไม่เคยกล่าวอ้างเลยว่า เทพราชวงศ์โอลิมปัสของพวกเขาเสด็จลงมาจากสรวงสวรรค์
เอ้า อย่าเพิ่งทำหน้าเบ้สิครับนี่เรื่องจริง
เทพเจ้าของชาวกรีกล้วนเดินทางมาจากดินแดนอื่น ซึ่งเป็นผลพวงจากการค้าขายระหว่างประเทศในสมัยนั้น เทพเซอุสมาจากเมดิเตอร์เรเนียน-แถบเกาะครีต, อโฟรไดต์มาจากแถบตะวันออกไกล-แถวไซปรัส, โปเซดอนมาพร้อมกับวัฒนธรรมแบบทหารม้าจากเอเชียไมเนอร์, อาธีนาแบกกิ่งโอลิฟ ความอุดมสมบูรณ์และอารมณ์ร้ายจากดินดนในพระคัมภีร์ ว่ากันว่าหากจะมีหลักฐานเชื่อมโยงถึงความสัมพันธ์ระหว่างเทพราชวงศ์โอลิมปัสกับเลข 12 แล้วไซร้ หลักฐานดังกล่าวก็คงอยู่ในโบราณสถานแถบหมู่เกาะในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนนั่นแหละ
เลข 12 อย่างพอดิบพอดีไม่มากหรือน้อยไปกว่านั้น อ้อ... ชาวฮิตไทต์ในพระคัมภีร์ฉบับพันธสัญญาเก่า ก็เชื่อในเรื่องของเทพเจ้า 12 องค์เช่นเดียวกับชาวกรีกครับ มีหลักฐานว่าด้วยความสัมพันธ์ทำนองเดียวกันในศาสนาพราหม์อีกด้วย แต่ไม่สู้จะชัดเจนนัก
สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า เลข 12 กับคนโบราณคงมีอะไรสัมพันธ์กันอยู่ อย่างน้อยหน่วยนับที่เป็นโหล หรือ dozen ที่ใช้กันในปัจจุบันก็ได้มาจากคนโบราณที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่ ชาวสุเมเรียน...
ย้อนกลับกันมาที่เรื่องเดิมของเรา
อะไรคือสาเหตุของการพัฒนาอย่างปุบปับในด้านอารยธรรม? ในเมื่อหลายหมื่นหรืออาจจะเก่าไปจนถึงล้านปีก่อนนั้นพัฒนาของมนุษย์เป็นไปอย่างเชื่องช้า ความเป็นอยู่ของพวกเขาล้าหลัง ป่าเถื่อน และเจริญพอๆกับลิง อะไรที่ทำให้ทุกสิ่งเปลี่ยนไปอย่างปุบปับ
เปลี่ยนอย่างกระทันหันและเป็น step เหมือนหมัดสามจังหวะในการ์ตูนบางเรื่อง "1-2-โพล๊ะ! ...แกตายไปแล้ว"

จากมนุษย์ถ้ามาเป็นมนุษย์ยุคพริมิทิฟที่ยังชีพด้วยการล่าสัตว์ หาของป่า จากนั้นพวกเขารู้จักทำเกษตรกรรมและเครื่องปันดินเผา และหมัดเด็ดของการพัฒนาจากชุมชนขึ้นมาเป็นเมืองซึ่งเจริญล้นเหลือทั้งในด้านวิศวกรรม คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ การผลิตโลหะ การพาณิชย์ ดนตรี กฏหมาย การแพทย์ ศาสนา และมาถึงขั้นสำคัญที่สร้างหลักฐานให้พวกเราได้สืบสาวราวเรื่องกัน ความเจริญสูงสุดในแง่ของศิลปะและวรรณคดีครับ
ทั้งหมดทั้งเพนี้นักโบราณคดีมึนหัวตึบเพราะตอบไม่ได้ว่าชาวสุเมเรียนเอาความเจริญพวกนี้มาจากไหน ทั้งที่ชาวสุเมเรียนระบุเอาไว้อย่างชัดเจนถึงที่มาของอารยธรรมอันรุ่งเรืองนี้ว่า
...เอามาจากพระเจ้า
เห็นท่าจะจริง พิศจากหลักฐานที่เรามีอยู่ ทุกอย่างของชาวสุเมเรียนดูมหัศจรรย์ไปเสียหมด ราวกับว่าจู่ๆพระเจ้าก็ทรงประทานทุกอย่างมาให้พวกเขาเสียอย่างนั้น ข้อเท็จจริงอีกประการก็คือ บันทึกของชาวสุเมเรียนที่เราขุดค้นกันได้นั้น ส่วนใหญ่เน้นแล้วเน้นอีกว่าผลผลิตแห่งความรู้เหล่านี้คือสิ่งที่พระเจ้าประทานให้ พระเจ้าซึ่งครั้งหนึ่งเคยอาศัยอยู่ในดินแดนเมโสโปเตเมีย ปกครองชนพื้นเมืองเยี่ยงราชาของมนุษย์ปุถุชน
มาถึงตรงนี้แล้วสงสัยไหมครับว่า พระเจ้าของชาวสุเมเรียนเป็นใครและมาจากไหน?
Chapter Three: The Importance of Number 12 (ต่อ)
วัวกับไม้กางเขน
ปัจจุบันแวดวงโบราณคดียอมรับกันอย่างกว้างขวางแล้วครับว่า รากเหง้าของอารยธรรมกรีกน่าจะมีที่มาจากบริเวณเกาะครีตที่ซึ่งมีอารยธรรมที่ชื่อมิโนอันเจริญรุ่งเรืองอยู่ในช่วง 2700 ถึง 1400 ปีก่อนคริสตกาล ในเทพตำนานของมิโนอันนั้นมีเรื่องเล่าของสิ่งมีชีวิตครึ่งคนครึ่งวัวที่ชื่อไมโนทอร์อยู่ด้วย ชาติกำเนิดของเจ้าอมนุษย์ตัวนี้ก็พิศดารอยู่ คือเกิดจากชายาของกษัตริย์ไมนอสและวัวตัวผู้ครับ น้อง Rayon เคยเขียนถึงไปแล้วในตำนานวีรบุรุษ Theseus สนใจก็คลิกไปอ่านกันนะเอ้อ

นักโบราณคดีลงความเห็นว่าอารยธรรมมิโนอันมีความเกี่ยวพันกับวัวอย่างลึกซึ้ง จารึกโบราณบางชิ้นที่พบที่นั่นมีรูปวัวซึ่งเป็นตัวแทนแห่งเทพอยู่ด้วย ที่น่าประหลาดใจก็คือรูปนั้นมีสัญลักษณ์ของกางเขนอยู่ซึ่งจากตำแหน่งของมันชวนให้คิดเหลือเกินว่า น่าจะเป็นสัญลักษณ์แทนรูปดาวอะไรซักอย่างหนึ่ง
มาถึงตรงนี้นักโบราณคดีที่ค้นพบก็ชักจะเอะใจขึ้นมานิด ถ้ารูปกางเขนเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงกลุ่มดาวแล้วไซร้ รูปวัวอันเป็นสมมติเทพของไมโนอันก็น่าจะแทนกลุ่มดาวอะไรซักอย่างด้วยเช่นกัน ชาวกรีกก็เช่นเดียวกับชาวสุเมเรียนครับ พวกเขาแบ่งท้องฟ้าออกเป็น 12 ราศี กลุ่มดาวในจักรราศีหรือ Zodiac ที่พวกเราคุ้นเคยกันในทุกวันนี้ล้วนได้รับอิทธิพลมาจากกรีกทั้งนั้นแหละ
เป็นไปได้ไหมครับว่า ภาพนั้นแสดงปรากฏการณ์บนท้องฟ้าเมื่อประมาณ 4000 ปีก่อนคริสตกาลหรือ 6 พันปีที่ผ่านมา โดยเป็นปรากฏการณ์ของดาวบางดวงที่ปรากฏขึ้นให้สังเกตได้ใกล้กับกลุ่มดาววัวหรือ Taurus ในช่วงอธิกมาสกลางฤดูร้อน
The Goggles
นักโบราณคดีค้นพบว่าชาวฮิตไทต์โบราณนั้นมีสัญลักษณ์ของพระเจ้าเป็นรูปของสวรรค์และโลก โครงสร้างนี้มีความสัมพันธ์และถูกจัดเรียงอย่างเป็นลำดับขั้น เทพบางองค์ในจำนวนเทพอันมากมายของชาวฮิตไทต์ถูกจัดให้เป็นพระเจ้าโบราณซึ่งเดินทางมาจากสรวงสวรรค์ น่าแปลกตรงที่ว่าสัญลักษณ์อันวาดแทนพระเจ้าของคนโบราณกลุ่มนี้มองดูคล้ายกับแว่นคู่หนึ่ง และบ่อยครั้งที่วาดคู่กันไปกับสัญลักษณ์ทางศาสนาซึ่งรูปพรรณคล้ายคลึงกับจรวดในยุคปัจจุบันอย่างเหลือเกินมีเรื่องเล่าเก่าแก่ของชาวฮิตไทต์เรื่องหนึ่งกล่าวถึงอาณาจักรแห่งสวรรค์ ซึ่งถูกปกครองโดยเทพโบราณผู้มีอายุขัยเกือบอมตะกลุ่มหนึ่ง ทายสิครับว่าเทพกลุ่มนั้นมีจำนวนกี่องค์สิบสององค์... ถูกต้องเลยครับ

ซ้าย: ภาพถ่ายทางอากาศจากโบราณสถานของชาวฮิตไทต์ ขวา: โบราณสถานอูราราไทอันในประเทศตุรกี หลักแหล่งดั้งเดิมของชาว Hurrians
ใครคือพระเจ้าโบราณของชาวฮิตไทต์เหล่านั้น? คงจะเซอร์ไพรส์คนที่มีความรู้ทางอารยธรรมโลกอยู่บ้างถ้าผมจะไล่ชื่อให้ฟังว่า หนึ่งในจำนวนนั้นประกอบไปด้วย Anu, Antu, Ninlil, Ea, Ishkur ,etc. ซึ่งเป็นชื่อเทพเจ้าของชาวสุเมเรียน! ไม่เพียงเท่านั้นนะครับ สถานที่ในเรื่องเล่านี้มีอยู่หลายแห่งปรากฏอยู่จริงในดินแดนซูเมอร์โบราณ ซึ่งก็แปลกดีที่เรื่องราวของสองอารยธรรมนี้มีส่วนคล้ายคลึงกันได้อย่างน่าประหลาดถ้าสองอารยธรรมนี้มีการถ่ายทอดเรื่องราวระหว่างกัน มันจะต้องมีจุดเชื่อมโยงให้นักโบราณคดีสืบสาวได้ซักจุดสิน่า คิดได้ดังนี้แล้ว Zecharia Sitchin จึงเริ่มศึกษาอย่างระมัดระวังว่าชาวฮิตไทต์สืบทอดความรู้จากชาวสุเมเรียนโบราณมาได้อย่างไร โดยเริ่มจากการศึกษาไวยากรณ์ของภาษาโบราณทั้งสองเป็นอันดับแรกห่วงโซ่ของความสัมพันธ์นี้อยู่ที่กลุ่มชนที่ชื่อเฮอไรอัน(Hurrians) คัมภีร์พันธสัญญาเก่าเรียกพวกเขาว่าฮอไรต์(Horites)อันมีความหมายว่าชนชาติอิสระ
ในขณะที่เอกสารโบราณของอียปต์กล่าวถึงอาณาจักรของพวกเขาในนามของ Mitanni ปัจจุบันเรารู้จักชนชาติชื่อประหลาดนี้ในนามของชาวอริยกะหรืออารยัน :)ชาว Hurrian สร้างวัฒนธรรมของตนโดยสืบสานมาจากสุเมเรียนเดิมแทบทั้งหมด ซึ่งก็ไม่แปลกอะไรเพราะมีหลักฐานที่เชื่อถือได้ว่าคนกลุ่มนี้เคยอาศัยอยู่ในอาณาจักรสุเมเรียนเมื่อ 3 พันปีก่อนคริสตกาล มีผู้นำหลายคนดำรงตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลสุเมเรียนอีกด้วย และทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงราชวงศ์ที่สามแห่งเออร์(Ur) นครหลวงของชาวซูเมอร์
Sumerian Father of the Gods
ประมาณ 1300 ปีก่อนคริสตกาล ภายใต้ยุคสมัยแห่งการอพยพและการรุกราน (ยุคเดียวกับที่ชาวอิสราเอลอพยพออกจากอียิปต์สู่ดินแดนคานาอันนั่นแหละครับ) ชาว Hurrians ถอนตัวไปยังหลักแหล่งใหม่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอาณาจักร ทำการสร้างเมืองหลวงแห่งใหม่ใกล้ทะเลสาบ Van (Lake Van) ชาว Hurrians ขนานนามเมืองหลวงแห่งใหม่นี้ว่า Uraty หรือ Ararat ชื่อเดียวกับยอดเขาที่เรือของโนอาห์ไปค้างเติ่งอยู่เสียด้วย พวกเขามีรูปเคารพแทนองกษัตริย์เป็นเทพผู้น่าเกรงขาม เทพองค์นั้นทรงสวมหมวกมีเขายืนตะหง่านอยู่บนหลังสัตว์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำตัว ให้ทายครับว่าสัตว์อะไร
ถูกต้องครับ วัว...
ชาว Hurrians เรียกวิหารหลักของพวกเขาว่า Bitanu ที่แปลว่า House of Anu พวกเขาอุทิศตนเพื่อสร้างอาณาจักรอันเรียกว่าวิหารแห่งหุบเขาของ Anu เทพที่พวกเรารู้จักกันในนามของบิดรเทพแห่งสุเมเรียน

ซ้าย: Lake Van ขวา: อาณาจักรโบราณของชาวคานาอัน
ณ ดินแดนที่เป็นที่ตั้งของอิสราเอล เลบานอน และซีเรียใต้ในปัจจุบัน ดูจากแผนที่แล้วดินแดนนี้จะแวดล้อมด้วยทิวเขาเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์กว่าพื้นที่ใกล้เคียง จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่า บริเวณนี้แหละครับที่เป็นถิ่นฐานของชนกลุ่มหนึ่งซึ่งเรียกกันว่าชาวคานาอันหรือ Canaanites น่าประหลาดที่คำอธิบายเกี่ยวกับวิหารของชาวคานาอันคล้ายคลึงกับของชาวกรีกมากแม้กระทั่งส่วนยอดของวิหาร ชาวคานาอันมีคำที่หมายถึงพระเจ้าอันเป็นที่สักการะสูงสุดคือ El ซึ่งในเวลาต่อมากลายเป็นชื่อแสดงบุคลิกลักษณะของพระเจ้าและมีความหมายในเชิงทั่วไปว่าพระเจ้าผู้สูงส่ง
ศิลาจารึกที่พบในปาเลสไตน์กล่าวถึงเทพเจ้าอาวุโสผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์ แวดล้อมไปด้วยเทพวัยเยาว์คอยสักการะและสนองโองการ เทพอาวุโสนั้นทรงหมวกโคนสูงประดับประดาด้วยเขาสัตว์-สัญลักษณ์แห่งพระเจ้า อย่างที่เราเคยเห็นคนยุคก่อนประวัติศาสตร์บูชากัน ภาพทั้งหมดอยู่ภายใตดวงตรารูปดาวมีปีก(Winged Star) สัญลักษณ์ที่คุณและผมจะพูดถึงกันบ่อยขึ้นในบทต่อๆไป เป็นที่ยอมรับกันในปัจจุบันแล้วครับว่ารูปนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่ El เทพอาวุโสของชาวคานาอัน
Winged Satr มีลักษณะเป็นวงกลมล้อมดาวแปดจุดและวงกลมนั้นมีปีกสยายออกซ้ายขวา ปัจจุบันสัญลักษณนี้ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายโดยเฉพาะกับกองทัพอากาศ เพียงแต่เปลี่ยนตรงกลางให้เป็นรูปดาวห้าแฉกเท่านั้น
คำถามจึงมีอยู่ว่า ชาว Canaanites รับวัฒนธรรมทางศาสนาเหล่านี้มาจากไหน?
ก่อนตอบคำถามนี้ผมจะพาคุณไปทัวร์อียิปต์กันบ้าง ชาวอียิปต์โบราณมีความเชื่อในเรื่องเทพเจ้าผู้ปกครองสวรรค์และโลกอย่างลึกซึ้ง G. A. Wainwright ผู้เขียน The Sky Religion in Egypt สรุปผลการศึกษาของเขาเพื่อแสดงให้เห็นว่า ความเชื่อในเรื่องเทพเจ้าผู้ลงมาจากท้องฟ้าเพื่อปกครองโลกมนุษย์ของขาวอียิปต์นั้นเป็นความเชื่อที่โบราณสุดๆ ไม่ได้หมายถึงหัวโบราณนะครับ^^ หมายถึงอายุของความเชื่อนี้ต่างหาก เราไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าพวกเขามีเริ่มความเชื่อนี้ตั้งแต่สมัยใด รู้เพียงแต่ว่าสมญาที่ใช้ขนานนามเทพสูงสุดมันฟังแล้วคุ้นหูเหลือเกิน เช่น เทพผู้ยิ่งใหญ่, โค(หมายถึงวัว)เทพแห่งสวรรค์, เทพเจ้าแห่งขุนเขาและภูผา โดยเฉพาะชื่อสุดท้ายนี่ชัดเหลือเกิน
อ้าว อย่าเพ่งตีหน้ายุ่งว่า "ตูไม่คุ้นซักชื่อเลยว๊อย" สิครับ ลองถามพวกนักศึกษาที่ลงเรียนวิชาอารยธรรมหรือศาสนาเปรียบเทียบดู เค้าจะอมยิ้มให้คุณเห็นเลยล่ะ
ชาวอียิปต์โบราณใช้เลขฐานเดียวกับพวกเราในปัจจุบันคือฐานสิบ แต่ในทางศาสนาแล้วพวกเขาใช้ตัวเลขชนิดเดียวกับชาวสุเมเรียนโบราณคือเลขที่สัมพันธ์กับฐาน 60 และทุกอย่างเกี่ยวกับสรวงสวรรค์จะหารด้วยเลข 12 ลงตัวเสมอ เช่นการแบ่งท้องฟ้าออกเป็นส่วนด้วยจักราศีทั้ง 12 การแบ่งวันละคืนออกเป็น 12 ส่วนเท่าๆกัน และอื่นๆอีกมากมายที่เกี่ยวพันกับเลข 12
กระทั่งเทพราบิดรเทพแห่งไอยคุปต์ยังทรงแบ่งเทพในการปกครองออกเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละ 12 องค์...
ราเป็นเทพเจ้าที่ทรงปรากฏกายให้โลกได้ประจักษ์เฉพาะยุค ในบางครั้งพระองค์ปรากฏกายในอีกลักษณะ คอเทพตำนานของอียิปต์อาจคุ้นชื่อนี้ครับอาเตน(ATEN) เทพลักษณ์ที่มีรูปร่างคล้ายจานซึ่งบางครั้งถูกแทนด้วยทรงกลมมีปีก
ตราของ ATEN เป็นวงกลมว่างเปล่าที่มีปีกสองข้างลักษณะเหมือน Winged Star และถูกใช้แทนรูปเคารพของเทพเจ้าราอยู่พักหนึ่งในอียิปต์

ซ้าย: Adoration fo Ra ขวา: Mari นครโบราณของชาวอามอไรต์
รามีโอรสสององค์คือโอสิริสกับเซธ สงครามระหว่างเทพสององค์นี้ผมไม่เล่าซ้ำเพราะรู้กันดีอยู่ว่าโอสิริสถูกเซธผู้อนุชาทำร้ายชิงอำนาจไป จนกระทั่งโฮรัสบุตรของโอสิริสเติบโตขึ้นและกลับมาทวงความเป็นธรรมแทนบิดา สัญลักษณ์ของโฮรัสในบางครั้งถูกเขียนด้วยรูปปีกและเขา บางคนตีความว่ามันคือสัญลักษณ์แทนอำนาจที่ได้รับจากเทพรา
นักประวัติศาสตร์สมัยก่อนเชื่อว่าอารยธรรมแรกของโลกเริ่มต้นที่อียิปต์ ถึงปัจจุบันเองก็เถอะครับ ลองถามใครดูก็ได้ที่เคราะห์ร้ายมาคุยกับคุณเข้าว่า เขาคิดว่าอารยธรรมของชาติไหนที่เก่าแก่ที่สุด ร้อยทั้งร้อยหนีไม่พ้นอียิปต์ ทั้งที่ในความเป็นจริงเรามีหลักฐานที่แน่ชัดแล้วว่าชาวอียิปต์มีนครรัฐและวัฒนธรรมตามหลังสุเมเรียนอยู่นับพันๆปี ซึมซับเอาวัฒนธรรม สถาปัตยกรรม เทคโนโลยี ศิลปะและวรรณคดีมาจากดินแดน Sumer อยู่ไม่ขาด แม้กระทั่งด้านศาสนาเอง มีเทพเจ้าของอียิปต์อยู่ไม่น้อยที่ถือกำเนิดในดินแดน Sumer
ชาวคานาอันไม่ได้สั่งสมอารยธรรมที่เป็น Original ของตัวเองฉันใดชาวอียิปต์ก็ฉันนั้น แม้สภาพทางภูมิศาสตร์ของสองอาณาจักรจะห่างไกลกันไม่ใช่เล่น แต่การถ่ายทอดทางวัฒนธรรมระหว่างสองชาติโบราณนี้กลับไม่เป็นอุปสรรคเลย ชาวอียิปต์เข้าถึงแหล่งความรู้ของชาวสุมเรียนผ่านชนเผ่าโบราณกลุ่มหนึ่งที่ชื่ออามอไรต์ (Amorite)
ช่วงทศวรรษ 1980's นักโบราณคดีค้นพบอาณาจักรและเมืองหลวงของชาวอามอไรต์ที่ชื่อ Mari เมืองดังกล่าวตั้งถูกแถบชายแดนของประเทศซีเรียในปัจจุบัน มีแม่น้ำยูเฟรติสไหลผ่านเป็นพรมแดน นักโบราณคดีพบว่าเมืองนี้ถูกสร้างและบูรณทับชั้นเดิมสองครั้งในช่วง 3,000 และ 2,000 ปีก่อนคริสตกาลตามลำดับ โบราณสถานแห่งนี้มีเอกสารโบราณบางชิ้นและร่องรอยของการสร้างทับเมืองเก่าของเผ่าที่อาศัยอยู่แต่เดิม ในบรรดาร่องรอยเหล่านี้มีส่วนหนึ่งที่เป็นปิระมิดแบบขั้นบันได และวิหารของเทพเจ้าองค์สำคัญของสุเมเรียน เช่น Inana, Ninhursag และ Enlil อีกด้วย
เทพเจ้าเหล่านี้เป็นใครกันแน่ พวกเขาลงมาจากท้องฟ้าเพื่อปกครองโลกมนุษย์ มีความเกี่ยวพันกับเลข 12 อย่างลึกซึ้ง ในเนื้อที่ประมาณ 2 หน้ากระดาษ ผมได้พาคุณท่องไปตามวิหารของชาวกรีก อารยัน ฮิตไทต์และ Hurrians ชาวคานาอัน ชาวอียิปต์ รวมไปถึงชาวอามอไรต์ เป็นการเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลลัดเลาะตามบริเวณสำคัญๆของสองทวีป เพื่อหาจุดกำเนิดแห่งอารยธรรมเมื่อหลายพันปีมาแล้ว
แหละร่องรอยทั้งหมดพร้อมใจกันชี้ไปยังต้นตอเพียงที่เดียวคือดินแดนที่มีชื่อว่า Sumer